ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 43

ผึ้งในปัจจุบัน มีอัตราลดน้อยลงแม้กระทั่งผึ้งเลี้ยงตามฟาร์ม ทำให้ฟาร์มผึ้งหลายแห่งต้องขาดทุน เพราะนางพญาผึ้งไม่สมบูรณ์ ถึงขั้นไม่มี ทั้งผึ้งแรงงาน  ตายกันระนาว จากวิกฤตของสภาพอากาศ ที่ปกคลุมโลก อีกไม่กี่ปีข้างหน้า ผึ้งจะสูญพันธุ์ไปจากโลก เมื่อนั้นพวกเราชาวโลกจะอยู่กันได้ยาก จนถึงขนาดมีน้ำผึ้งปลอมผสมน้ำตาล วางขายกันตามท้องตลาด ซึ่งน้ำผึ้งปลอมพวกนี้เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก

รังผึ้ง จะอุดมสมบูรณ์ให้น้ำผึ้งได้มากในหน้าแล้ง ชาวบ้านนิยมตีผึ้งกันเดือนมีนาคม หรือเมษายนของทุกปี เขาจะตีผึ้ง กันกลางคืน เพราะถ้าตีกลางวันผึ้งจะบินไปทำร้ายชาวบ้านได้ แต่ถ้าตีกลางคืนผึ้งไปไหนไม่ได้ จะบินวนเวียนอยู่แถวนั้น คนตีผึ้งจึงต้องมีคาถาอาคมไว้กันผึ้ง ผึ้งนิยมทำรังอยู่ตามยอดไม้ คาคบไม้สูงๆหรือรังผึ้ง แบ่งเป็น ผึ้งรังยวน กับผึ้งรังโทน

ผึ้งรังโทน

ผึ้งรังยวน คือ มีรังผึ้งนับ 10 – 100 รังอยู่ในต้นไม้ต้นเดียวกัน แน่นอนไม้ต้นนั้นจะต้องมีขนาดหลายคนโอบ  ส่วน ผึ้งรังโทน คือ มีรังเดียวโดดๆ อยู่บนคาคบไม้ หรือยอดหน้าผาสูง ผึ้งรังโทน บางรังอยู่บนยอดไม้ ที่ปราศจากกิ่งก้านจากโคนต้น ทำให้ยากต่อการจะปีนป่ายขึ้นไปตีรังผึ้งได้ จะใช้พะอง หรือบันได ก็ไปไม่ถึง  ต้องใช้ ตอกทอย การตอกทอย ผู้จะปีนขึ้นไปตีรังผึ้งด้วยการตอกทอยได้จำต้องใช้คาถาอาคม เครื่องมือที่ใช้ในการตอกทอย จะแบ่งเป็น แม่ทอย กับลูกทอย แม่ทอยจะมีลักษณะ เหมือนสากตำน้ำพริก ขนาดเขื่องทำด้วยไม้เนื้อแข็งและมีน้ำหนัก

แม่ทอยนี้จะหยิบยืมกันไม่ได้ ของใครของมัน เวลาไม่ใช้ ต้องเก็บไว้ให้ดี เขามักแขวนกันไว้ตามเสาบ้านอย่างเป็นที่เป็นทาง ลูกทอย จะทำด้วยไม้ชนิดเดียวกันที่มีปลายแหลม  การตอกทอยขึ้นไปเก็บของป่าตามหน้าผาสูงๆ หรือต้นไม้สูงๆ ต้องเป็นผู้ที่ชำนาญเรื่องคาถาอาคม เมื่อเขาไปเห็นรังผึ้งที่อยู่บนต้นไม้สูงๆ เขาจะกะได้ด้วยสายตาว่าจะต้องเหลาลูกทอยกี่ลูก เพื่อปีนไปถึงผึ้งรังนั้นได้ จากนั้นเขาจะไปหาไม้มาเหลาลูกทอยทันที ตลอดเวลาที่เหลาลูกทอย ครูบาอาจารย์ท่านให้ปิดวาจา ห้ามพูด พร้อมกับร่ายคาถาอาคมกำกับทอยทุกลูก เมื่อได้ลูกทอยมาแล้ว เขาจะใช้แม่ทอยตอกลูกทอยแต่ละอัน ขณะตอกให้ตั้งสติกำกับเวทมนต์ทอยแต่ละลูก ให้ตอกแค่ 3 ที ห่างกันลูกละประมาณ หนึ่งศอก ขึ้นไปจนถึงยอด ที่น่าประหลาดใจมากคือ ขณะที่พรานตีผึ้งใช้เท้าเหยียบลูกทอยแต่ละอันเดินสูงขึ้นๆไป น้ำหนักของตัวพรานผู้ตอกทอย มากเกินกว่าที่ลูกทอยจะรับได้ ลูกทอยบางลูกขณะที่พรานเหยียบก้าวขึ้นไป เอียงทำท่าเหมือนจะหลุดออกจากเนื้อไม้ แต่กลับอยู่กับที่ไม่หลุดตามที่ควรจะเป็น เวลาพรานตีแม่ทอยลงไปบนลูกทอย เขาก็ตีด้วยแรงธรรมดาๆ ไม่ได้กดให้ลูกทอยจมเข้าไปในเนื้อไม้จนมิดด้าม ตรงข้ามบางทีทอยบางลูกมองด้วยสายตา ก็รู้ว่ารับน้ำหนักใครไม่ได้ แต่ความจริงที่ปรากฏ คือพรานปีนขึ้นไปตัดรังผึ้ง หย่อนลงตะกร้าให้ผู้ที่ยืนรอรับอยู่เบื้องล่าง แล้วปีนกลับลงมาบนลูกทอยได้อย่างปลอดภัย  ลูกทอยที่ตอกใช้แล้วห้ามนำกลับมาใช้อีก ส่วนแม่ทอยเก็บไว้ใช้ต่อได้ เรื่องเล่านี้จากคนที่คอยรับรังผึ้งอยู่เบื้องล่าง แล้วส่องไฟฉาย แบบ Spot light ที่มีกำลังแรงสูง ส่องตามลูกทอยทุกลูก ที่พรานตอกแล้วปีนขึ้นไปทีละลูก ทีละลูก

พะอง

ผึ้งฝาก …. เมื่อชายสองคน ได้ตกลงนัดแนะกันแล้ว เพราะความจำเป็นบีบบังคับ ทำให้ตาบอดมืดมัวไปด้วยความโลภ ลืมกฎกติกาของป่าไปหมด ว่าผู้จะตีผึ้งได้ นอกจากจะต้องมีวิชาอาคมแล้ว ยังต้องมีจิตใจที่มั่นคง  ต้องเคารพต่อกฎกติกาของป่า จะพูดจาคะนองตลกโปกฮา หรือเสียสัจจะวาจาอะไรกับใครไม่ได้

เช้าวันใหม่… ไม่ทันไก่จะออกจากเล้า  ชายวัยกลางคนทั้งคู่ เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ ได้แก่ขี้ใต้ กาบมะพร้าว ( ใช้แทนคบเพลิงสำหรับลนรังผึ้งให้ผึ้งทิ้งรัง เพื่อตัดรังผึ้งใส่ตะกร้าแล้วหย่อนตะกร้าลงให้คนเบื้องล่าง ) ไม้ขีด ตะกร้า เชือก มีดคมๆ สำหรับตัดรังผึ้ง ชายทั้งสองเดินเข้าป่าสูงไปพักใหญ่  ป่าเริ่มมืดทึม แต่หาคาคบผึ้งไม่เจอเลย 

ทั้งคู่ไม่ละความพยายามแม้จะบ่ายคล้อยไปมากแล้ว  ต่างชวนกันบุกป่าลึกเข้าไปอีก พลันแลเห็นต้นยางขนาดใหญ่ มืดครึ้มมีพุ่มไม้กิ่งก้านสาขา แน่นหนาสะพรั่ง แต่ละคาคบเต็มไปด้วยรังผึ้ง มองเห็นตะคุ่มๆ อยู่ในความสลัว ต้นยางขนาดใหญ่ต้นนี้ให้ผึ้งยวน มากกว่า ร้อยรัง มันเหมือนกับว่า ผึ้งทั้งป่า ทุกเผ่าพันธุ์ ต่างพากันมาอยู่อาศัยที่ไม้ยางนี้ต้นเดียว …. ดีใจได้เพียงครู่เดียวเมื่อชายทั้งคู่ปราดเข้าไปที่โคนต้นยาง  ก็พบว่า มันเป็นผึ้งฝาก

ผึ้งฝาก …. คือ เมื่อพรานตีผึ้งคนแรกมาพบผึ้งเข้าก่อนใครเพื่อน  แต่สภาพของรังผึ้งยวนทุกรังบนต้นยางต้นนั้น ยังเล็กมากอาจเท่ากำปั้น ไม่สามารถจะตีได้ ในขณะนั้น เขาจะทำพิธีจุดธูปบอกกล่าวแก่เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าที่เจ้าทาง ว่าขอฝากให้ผึ้งโตเต็มที่ก่อน เขาจะยังไม่เอาตอนนี้ เมื่อบอกกล่าวเสร็จเขาจะเอามือตีที่โคนต้นไม้ต้นนั้น 3 ที เป็นการเน้นความเป็นเจ้าของ นัยว่าจับจอง ขอฝากเอาไว้ก่อน แล้วเขาจะเอามีดกรีด เครื่องหมายกากบาทที่โคนต้นอีกที  เมื่อพรานสองคนได้มาพบเห็นเครื่องหมายนั้น พบว่านี่มันเป็นผึ้งฝาก ผึ้งหวงห้าม ผึ้งมีเจ้าของ แตะต้องไม่ได้เด็ดขาด  ชายคนหนึ่งกลัวกฎของป่า ชายอีกคนทนความยั่วยุของรังผึ้งขนาดใหญ่มากมายเป็นร้อยไม่ไหว ไม่ว่าชายอีกคนจะห้ามปรามอย่างไร ไม่ยอมฟัง กลายเป็นว่ากลับพูดจาเกลี้ยกล่อมให้เพื่อนเกิดความโลภขึ้นมาด้วย 

ตอกทอย

ผลสุดท้าย พวกเขาตัดสินใจจะตีผึ้งฝาก โดยพักผ่อนใต้ต้นไม้งัดข้าวห่อ บุหรี่ยาสูบมานั่งกิน นั่งสูบ รอกันจนตะวันตกดิน พอมืดได้ที่ ชายคนที่เกิดความโลภตัวต้นเหตุทำหน้าที่ปีนขึ้นไป โดยเอาตะกร้าคล้องไหล่พร้อมเครื่องมือทุกอย่างใส่ตะกร้า ปีนตามกิ่งไม้ขึ้นไปอย่างชำนาญ เพื่อนที่อยู่ข้างล่างไม่เห็นอะไรเพราะกิ่งไม้ ใบไม้บังรวมทั้งเป็นเวลากลางคืนแล้ว  จึงส่งเสียงร้องบอกเพื่อนให้ตัดอย่างระมัดระวัง อย่าให้มันหนักล้นตะกร้าเกินไป เอาแต่เพียงกำลัง อย่าโลภ ได้ยินเสียงเพื่อนตะโกนตอบรับอยู่ครั้งสองครั้ง แล้วเสียงเพื่อนก็เงียบไปในความมืด แต่ได้กลิ่นควัน ว่าเพื่อนกำลังใช้ควันรมผึ้งอยู่ สักพัก เพื่อนก็หย่อนตะกร้าลงมา แต่ยังมองไม่เห็นตัวเพื่อนจึงคว้าตะกร้านั้นไว้ด้วยความดีใจ นึกถึงรายได้ที่จะได้มาอย่างมหาศาล  เมื่อรับตะกร้ามาถือ รู้สึกหนักๆ อยากจะดูรังผึ้งที่ได้ให้ชื่นใจ จึงจุดไม้ขีด ขึ้นส่อง แต่ภาพที่เห็นทำให้พรานคนนั้นต้องร้องลั่นออกมาสุดเสียง พร้อมทั้งสลัดตะกร้าออกไปอย่างรวดเร็ว  เพราะสิ่งที่เห็นคือหัวของเพื่อนตัวเอง ตาลืมถลนเบิกโพลง ค้างแข็งมองมายังเขาเหมือนพยายามจะพูด  ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จากรูปการเดากันต่างๆนาๆ ว่าเขาพลาด ตกลงมาหัวไปติดคาที่คาคบไม้แต่ตัวหล่นลงมาน้ำหนักกับแรงกระชาก ทำให้หัวกับตัวขาดออกจากกัน คำถามคือ แล้วใครเอาหัวใส่ลงตะกร้าแล้วหย่อนลงมาให้พรานที่รอเบื้องล่าง พรานผู้รอดชีวิต เสียสติ จำอะไรไม่ได้ พูดจาไม่รู้เรื่องทำมาหากินอะไรไม่ได้ อยู่กับภาพติดตาที่ชวนหวาดผวา กับติดตาคาใจเขามาตลอดชีวิตที่เหลือ ….. เชื่อสิ การผิดป่า ไม่เคารพ กฎของป่า ฆ่าพรานป่า พระป่า มานับไม่ถ้วน คำถามต่างๆ ที่หาคำตอบไม่ได้ ยังถูกเก็บไว้เป็นความลี้ลับของป่ามาจนปัจจุบัน  เราคงไม่ลืมกันหลวงปู่มั่น ก็เคยโดนทั้งนาค ทั้งยักษ์มาทดสอบพระคุณเจ้ามาแล้ว …. แล้วเรื่องยักษ์ อีกไม่ช้าเราจะเปิดเผยให้ฟังในบทต่อๆ ไป ว่ายักษ์ มีจริงหรือไม่