ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 77
- มกราคม 10, 2019
- ตอน แรงกรรม

เรื่องทำนองนี้ เรามักจะได้ยินได้ฟังกันมากเยอะมาก คนส่วนมากที่รู้จักบาปบุญคุณโทษครั้นได้ฟังเรื่องเหล่านี้ จะรู้สึกหดหู่ใจเศร้าสลด ด้วยเชื่อในเรื่องกฎของธรรมชาติ ที่เรียกกันว่ากฎแห่งกรรม ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังกับการใช้ชีวิตกันมากขึ้นทวีคูณ ขณะเดียวกันคนบางคนไม่ว่าจะได้ฟังเรื่องไหนก็ไม่เคยเห็นธรรม ยังคงก่อกรรมทำเข็ญกันจนวันสุดท้ายของชีวิต จนคำที่ว่า เห็นทุกข์ จึงจะเห็นธรรมนั้นยังใช้ไม่ได้ผล
คือเห็นทุกข์กี่ครั้งๆ ไม่ว่าจะทุกข์หนักสาหัสแสนเข็ญอย่างไร ก็ไม่เคยได้เห็นธรรมหันหน้าเข้าหาธรรม จนต้องตายทิ้งตายขว้างไปอีกหนึ่งชาติเกิด
เรื่องที่จะถ่ายทอดออกมาสู่กันฟังนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว
ชาวบ้านละแวกเดียวกันนั้นต่างทราบเรื่องกันกับเดาไม่ยาก ว่ามันเกิดมาจากอะไร? แต่สิ่งที่ชวนให้ฉงนฉงาย ใจแก่ชาวบ้านทุกคนคือ เท่าที่ทุกคนรู้จักกับทิดบุญโฮมมา ไม่เคยเห็นวี่แววความเลวทรามต่ำช้าหรือชั่วช้าลามกอะไรของทิดบุญโฮมเลย ทิดบุญโฮมเป็นคนตรงต่อเวลา ใครไหว้วานให้ทำอะไรก็ทำไม่เคยเกี่ยงงอนกับราคาค่าแรงจากใครเลย ครั้นมีงานวัดเมื่อไหร่ ทิดบุญโฮมจะขันอาสาช่วยงานวัดชนิดหามรุ่งหามค่ำ โดยไม่ปริปากบ่น ใครจะใช้ให้ทำอะไรเขาไม่เคยเกี่ยงเลยตราบใดที่สิ่งนั้นไม่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม ซึ่งเรื่องเช่นนี้ก็ไม่เคยจะเกิดขึ้น เพราะคนหมู่บ้านนั้นจะมีแต่คนที่จิตใจดี มีศีลธรรมทำบุญกันทุกวันพระ วันโกนจะรักษาศีลอุโบสถกันทุกครัวเรือน แม้แต่เด็กเล็กเด็กน้อยลูกเล็กเด็กแดงของทุกครัวเรือนก็ได้สัมผัสกับคำว่าอิ่มบุญกันมาแต่ยังเยาว์
กับแน่นอนทุกครัวเรือนในหมู่บ้านแห่งนั้นจะรู้จักมักคุ้นเอ็นดู ทิดบุญโฮมกันดี เพราะเขาเคยช่วยเหลือผู้เฒ่าผู้แก่กันทุกครอบครัวมาแล้ว ไม่ว่าใครจะให้ซ่อมรั้ว จ้างทำนา รักษาหมูหมาวัวควาย ทิดบุญโฮมทำได้หมด ไม่เคยมีใครรู้อดีตที่มาของทิดบุญโฮมมาก่อน รู้แต่ว่าเมื่ออายุประมาน 35 ปี ทิดบุญโฮมก็ได้ปรากฏตัวขึ้นในหมู่บ้าน เข้ามาหางานทำ มาอาศัยวัดอยู่ ช่วยงานวัดทุกอย่างจากวันนั้นมา แล้วทำตัวให้เป็นประโยชน์กับชุมชนหมู่บ้านนั้นๆ เข้ากับทุกคนได้อย่างดี ไม่เคยก่อปัญหาใดๆ เมื่อใครได้ถามที่มาของทิดบุญโฮมเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึง แต่ที่แน่ๆเขาไม่เคยมีคดีความ หรือหนีกฎหมายอะไรมา เขาเพียงบอกว่าเคยบวชเรียนมาแล้ว 3 พรรษา บอกชื่อวัด แล้วก็เพียงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงเรียกเขาว่า ทิด แต่ก็ไม่มีใครจะสนใจสืบสาวประวัติอะไรของเขามาก เพราะเขาไม่เคยส่อแววเป็นคนชั่วช้าลามกแต่อย่างใด
เมื่อตอนเสียชีวิต ทิดบุญโฮม อายุประมาณ 59 ปีเคยบวชเรียนมาแล้ว อาศัยอยู่กระท่อมท้ายป่าช้าหลังวัด ตามลำพัง ไม่มีลูกมีเมีย เขาจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่จำเจๆ และง่ายๆคือเช้ามาเขาจะออกไปขันอาสาชาวบ้านบ้าง ช่วยงานวัดจิปาถะบ้าง จะได้ค่าแรงหรือไม่เขาไม่เกี่ยงอย่างน้อย เขาก็ได้อาหารกิน พอตกค่ำมาเขาก็บากหน้ากลับมาซุกหัวนอนยังกระท่อมท้ายวัด ข้างป่าช้า ความเป็นอยู่ของเขาสันโดษมาก พอใจในสิ่งที่มี ยินดีกับสิ่งที่ได้ หรือไม่ได้ เขาไม่เคยบ่น เพราะเคยบวชเรียนมาก่อนเขาจึงไม่วิตกหรือหวาดกลัวกับการอยู่ในป่าช้าแต่อย่างใด
เมื่ออยู่ๆ ข่าวการตายของทิดบุญโฮม มาเข้าหูชาวบ้านต่างตกใจ และเสียดายความเป็นคนดีของเขา กับทำให้เกิดความลังเลสงสัยในเรื่องบาปบุญคุณโทษขึ้นมาไม่ได้ว่า ทำไมคนดีๆสงบเสงี่ยมอ่อนน้อมอย่างทิดบุญโฮมจึงจบชีวิตลงอย่างทุเรศเวทนาเช่นนี้ เมื่องานศพผ่านไปแล้วอดไม่ได้ ต่างสืบหาเพื่อจะให้ได้ความจริงนี้กันให้ได้ว่าทิดบุญโฮมนี้ไปทำอะไรมา มันจะต้องเป็นกฎแห่งกรรมที่ทิดบุญโฮมไปทำไว้อย่างแน่นอน แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีใครค้นหาความลับของทิดบุญโฮมได้
มันเป็นวิสัยของมนุษย์ทั่วๆไปที่อดจะสอดรู้สอดเห็นไม่ได้ มันเป็นมาทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ข่าวนี้ได้รู้ไปถึงเจ้าอาวาสของวัดที่ทิดบุญโฮมไปอาศัยข้าวแดงแกงร้อนของวัดอยู่ พระเจ้าอาวาสท่านนำเรื่องนี้ไปพิจารณา จึงเห็นสมควรที่จะนำเรื่องของทิดบุญโฮมมาเปิดเผยเพื่อให้เป็นวิทยาทาน เพราะการตายของทิดบุญโฮม มันเกิดจากแรงกรรมเพียงอย่างเดียวมิใช่อะไรเลย อีกทั้งพระคุณเจ้าก็มิเคยรับปากกับทิดบุญโฮมว่าจะเก็บเรื่องของทิดบุญโฮมไว้เป็นความลับ รวมทั้งทิดบุญโฮมก็ไม่เคยขอร้องท่านมิให้เปิด เพื่อเจ้าอาวาสจึงได้บอกให้ญาติโยมทุกครัวเรือนพากันมาฟังธรรมในคืนวันพระใหญ่ที่จะมาถึงพระคุณเจ้าจะพูดเรื่องแรงกรรมที่ทำให้ทิดบุญโฮม ต้องชดใช้นี้ให้ทุกคนฟัง
ติดตามต่อตอนจบ

จากจำนวนเจ้ากรรมนายเวรที่เข้ามาร้องเรียนความเป็นธรรมกับเรานั้นมีอยู่ 2 – 3 ราย ที่เรื่องชวนสยดสยองพองขนมาก มันเกิดกับนักเรียนในชั้นเรานี่เอง เมื่อถึงคิวของเขา เจ้ากรรมนายเวรผู้นั้นออกมาฟ้องว่า “ อดีตหลายชาติมาแล้ว เขาเกิดเป็นลูกทาสในเรือนเบี้ยสมัยกรุงศรีอยุธยา เขาเป็นผู้ชายทำงานทุกอย่าง ถูกกดขี่เยี่ยงสัตว์ พ่อแม่เขาก็เป็นทาส เช่นกันทำงานให้กับขุนนางที่ร่ำรวย เขาทนดูต่อความอดอยากขาดอาหารของพ่อแม่ไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจขโมยข้าวสารจากยุ้งข้าวของขุนนางมาให้พ่อแม่ได้ประทังชีวิต ขุนนางคนนี้จับได้ โกรธเขา จะเป็นจะตายถือเป็นเรื่องใหญ่ที่อุกฤตมาก จับเขาขึ้นขื่อ ห้อยหัวลง เฆี่ยนเขาไม่ต่างจากสัตว์ จนหนังสดๆของเขาปริแตก เลือดสดๆของเขาไหลเป็นสายไม่หยุดยังเอาน้ำเกลือมาสาด แม้กระนั้นยังไม่หายแค้น สั่งให้ไปนำผู้เฒ่าผู้แก่ พ่อแม่เขามานั่งเบื้องหน้าเขา แล้วตัดหัวพ่อแม่เขาต่อหน้า กับเพียงแค่ข้าวสารไม่กี่หยิบมือ เขาได้กล่าวคำอาฆาตสาปแช่งเอาไว้ ว่าจะตามไปทุกชาติทุกภพ เราฟังเรื่องนี้แล้วแม้จิตจะแข็งเพียงใด ยังอดสยดสยองกับความอำมหิตของสัตว์ในร่างคนของขุนนางผู้นั้นไม่ได้ ขุนนางผู้นี้มาเกิดเป็นศิษย์เราคนหนึ่งในคลาส ผิวเธอคล้ำแบบหมดสง่าราศี แบบหม่นหมอง กับเธอเล่าว่าจะมีอาการแสบๆ ร้อนๆ ตามตัวตลอดเวลา อันเกิดจากการเอาน้ำเกลือไปราดแผลสดนักโทษชายผู้นั้น เจ้ากรรมนายเวรรายนี้ บอกไม่ยอมไป ขออยู่ปัดแข้งปัดขาเธอต่อ และปัจจุบันนี้เราได้ตัดศิษย์คนนี้ออกไปพ้นทางแล้ว หมดวาระที่จะได้เป็นครูเป็นศิษย์กันแต่เพียงเท่านี้ ยังมีอีกหลายเรื่องจากเจ้ากรรมนายเวรที่ออกมาฟ้อง จนจำไม่หมด
อีกราย เธอบอกเราว่า “ เจ้ากรรมนายเวรหนู ไม่มีแล้วหนูปลดหมดแล้ว ” เพราะหน้าที่การงานสุขภาพ การเงินครอบครัวเธอดีหมด โดยเฉพาะการเงินเธอดีมาก เราตอบเธอว่า “ อ๋อเหรอ เอ็งพนันกะข้าเท่าไหร่ เดี๋ยวตอนปลดวิญญาณ เรามาดูกัน ” มันเป็นคลาสที่แอลเอ พอถึงคราวเรียกเจ้ากรรมนายเวรของเธอออกมา
“ มันพาคนไปปล้นบ้านข้า ฉุดลูกสาวข้าไปแล้วมันเผาบ้านข้าทิ้ง ข้ากับครอบครัวที่เหลือถูกไฟคลอกทั้งเป็น ” เธอนั่งหน้าจ๋อย มาบอกเราภายหลังว่า หนูก็ไปกะอาจารย์นะแหละ อาจารย์พาหนูไปปล้น หนูเอาสาวอาจารย์เอาทรัพย์ ” “ ไอ้เวรนี่ถีบเสียเลยดีไหม ” เลยได้ฮากันทั้งชั้น ไม่มีใครที่ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรนะ แม้แต่เราเองก็เช่นกัน
อีกเรื่องหนึ่งที่แรงมาก ฆ่าคนทั้งกองทัพ ศิษย์เราคนนี้เธอตั้งใจจะไม่มาคลาส ในคืนวันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ปลดเจ้ากรรมนายเวร เพราะติดงานกว่าจะออกจากงานก็สองทุ่มกว่า จึงตั้งใจจะตรงกลับบ้านเลย แต่เธอมาเล่าภายหลังว่า สุดท้ายไม่รู้เพราะสาเหตุใดทำให้หนูเปลี่ยนใจมาให้อาจารย์ปลดวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรให้ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว พระโพธิสัตว์กวนอิม ได้ทรงเมตตา มาคุยกับเราและบอกเราว่า
“ ข้านี่แหละที่ไปเอามันมาเข้าคลาส เพื่อจะทดสอบไหวพริบของเจ้าว่า เจ้าจะช่วยมันได้หรือไม่ และจะช่วยอย่างไร? ” งานนี้เบื้องบนทุกพระองค์ ทุกท่านทั้งมวลหมู่ แม้แต่พรรคพลนาค และม้ากัณฐกะ ต่างก็จดจ้องมองดูชนิดไม่กระพริบตาทีเดียว ว่าบททดสอบครั้งนี้เราจะผ่านไหม? เมื่อเธอมาถึง ร่างผ่านหรือสื่อก็เริ่มเล่าเรื่องโดยเจ้ากรรมนายเวรของเธอคนนี้เข้าผ่านร่างเธอแล้วชี้หน้าเธอกูจะเอาชีวิตมึงเดี๋ยวนี้ ไม่เพียงแต่เธอ แต่ทหารทั้งกองทัพที่อยู่เบื้องหลังต่างกรูกันเข้ามาจะเอาโทษเธอ จากอดีตที่เธอเกิดเป็นภรรยาของท่านแม่ทัพใหญ่ในอดีต อยู่กินกันมานาน แม่ทัพเกิดไปมีนางบำเรอหรือภรรยาอีกคน กับโปรดปรานภรรยาคนใหม่อย่างออกหน้า ส่วนภรรยาเก่าหรือเมียหลวง ได้เล่นบททำตัวเป็นคนดีมีน้ำใจกับภรรยาคนใหม่มาตลอด จนกระทั่ง ถึงครารบทัพจับศึก เขาต้องนำกองทัพไปทำศึก ร่างผ่านเล่าว่า มองเห็นภรรยาหลวง นั่งผสมยา ตำสมุนไพร ด้วยสีหน้าที่เยือกเย็นและอำมหิต กะจะฆ่าเมียน้อยกับทหารทั้งหมด พอได้เวลาแม่ทัพยกทัพกลับมา เธอกับภรรยาน้อยทำทีช่วยกันเอาน้ำที่เธอผสมยาไปเลี้ยงดูทหารที่ยังตั้งค่ายอยู่ชานเมือง แน่นอนภรรยาน้อยก็ต้องเผลอดื่มน้ำนั้นด้วย แต่เธอไม่ยอมให้น้ำนั้นแก่สามี เหล่าทหารเมื่อแบ่ง แจกจ่ายน้ำดื่มกัน ก็ค่อยๆ ร่วงลงไปทีละคนๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจว่า เขาโดนอะไร เพราะอะไร ไปออกทัพจับศึกมาเหนื่อยๆ หน้าลูกเมียยังไม่เห็น เขาทำผิดตรงไหน ใครฆ่าเขา ตายด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เสียใจ และอาฆาตแค้น ฝ่ายแม่ทัพเห็นทหารล้มตายทั้งกองทัพและภรรยาน้อย เขาตรอมใจจึงฆ่าตัวตายตาม บัดนี้ในคลาสเรา ทุกดวงวิญญาณพากันมาด้วยแรงอาฆาต กะเอาศิษย์เราคนนี้ถึงตาย เมื่อเราได้ยินเรื่อง และมีศิษย์เราที่นั่งอยู่ล้อมวง ประมาณ 12 คน ศิษย์คนนี้เธอร้องไห้ตาบวม ชะตากรรมที่เธอก่อไว้เขามาทวง ทั้งกองทัพโดยมีตัวภรรยาน้อยมายืนชี้หน้า ร้องเอาชีวิตอยู่เบื้องหน้าทหารทุกคน ทุกดวงจิตของทุกภพทุกภูมิจดจ้องดูอยู่โดยเฉพาะพระโพธิสัตว์กวนอิม ต่างอยากรู้ว่าเราจะหาทางออกเพื่อช่วยศิษย์คนนี้อย่างไร? ตอนนั้นเราเหนื่อยกายมาก แถมหนักใจกับปัญหาเฉพาะหน้าอันนี้ จึง “ พูดว่า หนักมากนะ เราขอโยนไพ่ใบสุดท้ายเลยนะ ” พูดเสร็จเราถอนหายใจถัดตัวไปกับพื้นเพื่อพิงเสาด้านหลัง อย่างเหนื่อยอ่อนแล้วพูดว่า “ มาเอาชีวิตกูไปแทน อย่าทำอะไรศิษย์กูคนนี้มันสำนึกแล้ว กูเหนื่อยแล้ว เบื่อกับชีวิตแล้ว ไม่เอาต่อไปแล้ว มาเลยมาเอาชีวิตข้าไปแทนเถิด ” พูดแล้วเราโน้มตัวแบบมือนาบลงกับพื้นเบื้องหน้า น้ำเสียงที่พูดปนสะอื้น “ ข้าเหนื่อย มาเอาชีวิตข้าไปแทน อย่าไปทำอะไรศิษย์ข้า ปล่อยมันไป เดี๋ยวมันจะชดใช้ด้วยการปฏิบัติธรรมอุทิศส่วนกุศลให้ตลอดชีวิต ” ปรากฏว่าภาพขอเราทำให้นักเรียนที่นั่งดู ฟังเหตุการณ์อยู่ทุกคนน้ำตาคลอ แล้วตกใจเป็นอันมาก ร่างผ่านก็ตกใจพูดขึ้นว่า “ จานๆๆ พวกวิญญาณ เขาตกใจแตกกันกระเจิงไม่มีใครกล้า เผ่นกันไปคนละทิศ บางดวงก็อโหสิกรรมให้กันไปเลย ส่วนตัวภรรยาน้อยก็ฝ่อไม่กล้าแต่ยังไม่ไปจะรอดูว่า เขาจะทำบุญ ปฏิบัติให้จริงหรือไม่? เป็นอันว่ามุขนี้ของจานวา แก้ปัญหานี้ได้ เพราะเจ้ากรรมนายเวรต่างกลัวในบุญบารมีของเรา ที่สำคัญ เราทำงานให้เบื้องบน ซึ่งขณะนี้นายเราทุกพระองค์ต่างจับตาดูอยู่ ก็ใครเล่าจะกล้าแตะต้องเรา ผลงานชิ้นนี้ทำให้เราดังไปทุกภพทุกภูมิ แต่ภูมิมนุษย์มีรู้เห็นกันไม่ถึง 15 คน จากงานนี้ม้ากัณฐกะ ถึงกับมอบหัวใจของเขามาวางแทบเท้าเราเลย และปัจจุบันอยู่กับเราแล้ว ( ไปๆมาๆ ) โดยขออนุญาตกับท่านเบื้องบน แล้วท่านก็ยอม จึงเรียกว่าไหวพริบปฏิภาณของเรานั้นไม่เหมือนใคร ภายหลังพระโพธิสัตว์มาบอกเราว่า จิตใจของศิษย์เราคนนี้เยือกเย็นอำมหิตมาก แล้วก็ยังเป็นอยู่ แต่ถ้ารักใครชีวิตก็มอบให้ได้ เรื่องจึงเอวังลงด้วยประการฉะนี้