ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 90
- กุมภาพันธ์ 7, 2019
- ตอน ปล่อย

เมื่อพูดถึงบ้าน “ คือวิมานของมนุษย์เรา ” ไม่ว่าจะเดินทางไปสุดขอบฟ้า ข้ามเขาข้ามน้ำไกลอีกซีกโลก เมื่อถึงเวลาที่เหนื่อยสุดขีดอยากจะเอนกายหายใจยาวๆ นอนเหยียดแข้งเหยียดขา ทุกคนจะนึกถึงบ้านเป็นสถานที่แรก ไม่ว่าบ้านนั้นจะเล็กจะใหญ่ จะคับแคบเท่ารูหนู จะราคาถูกราคาแพง แม้เป็นเพียงแค่บ้านเช่า ก็ตาม บ้านจะเป็นสถานที่แห่งแรกที่พวกเราคิดถึง โดยเฉพาะถ้า เราได้เติบโตมากับบ้านหลังนั้นด้วยแล้ว อยู่ๆถ้าเราจะต้องเดินจากบ้านหลังนั้นมาทั้งเป็นๆ โดยที่มีทางออกด้วยการ ยึดมันเอาไว้ ไม่ปล่อยมันไป คนส่วนมากจะต้องเลือกกับคำว่า “ ยึด ” อย่างไม่ต้องสงสัย
ใช่เรากำลังจะพูดถึงบ้านเราที่กรุงเทพฯ ครึ่งชีวิตที่เราอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ จากอายุ 17 ปี – 68 ปี แม้ระยะหลังๆ ไม่มีใครอยู่แล้วทุกคนไปอยู่ต่างประเทศกันหมด แต่ละคนอาศัยเป็นเพียงทางผ่าน เพราะเราก็ได้มาซื้อบ้าน “ บุญรักษา ” ที่เชียงใหม่ไว้แล้ว บ้านหลังที่กรุงเทพฯนี้ยังเก็บเอาไว้เพราะคุณแม่ยังอาศัยอยู่ทุกครั้งที่ท่านกลับมาจากอเมริกา เช่นกันแม้ว่าเราจะเดินสายไปออสเตรเลียบ้าง อเมริกาบ้าง เราก็ต้องซมซานกลับมาบ้านที่กรุงเทพฯ บ้านหลังนี้ มีแต่ให้คุณเรา อาจจะเป็นเพราะเราปฏิบัติธรรมสวดมนต์ไหว้พระรักษาศีล เขาจึงทำเงินให้เราจนเราสามารถไปซื้อบ้านเงินสดอีกหลังที่เชียงใหม่ได้อย่างสบายๆ
มีเรื่องเล่าว่า น้องชายที่อยู่อเมริกาจะไม่กล้ามานอนที่บ้านนี้คนเดียว ทั้งๆที่ไม่เคยมีใครเสียชีวิตที่บ้านหลังนี้ เวลาเขากลับมา เขาจะไปค้างตามโรงแรม แต่จะเทียวไปมา ถ้าคุณแม่อยู่บ้านเขาจึงจะมานอนบ้าน หรือไม่ก็พาใครมานอนเป็นเพื่อน ก็คงรู้กันดีว่าเป็นใคร เจ้าที่เขาจึงไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่ ท้ายที่สุดเขาจึงเล่าให้เราฟังว่า เกิดอะไรขึ้นกับเขา จนเขาไม่กล้านอนบ้านนี้คนเดียว คือเขาเห็นใครคนหนึ่งเดินออกมาจากตู้ ในห้องนอนเก่าของเรา แล้วชี้หน้าเขาถมึงทึง
เท่านี้ก็คงเป็นเหตุผลเพียงพอแล้ว ความกลัวนั้นยังคงเก็บซ่อนอยู่ในใจเขาอยู่ลึกๆ หลายทีที่เราจะคุยกับเจ้าที่ เวลาถางหญ้าก็คุยกับเขาที่ต้นมะม่วง มะขาม มีครั้งหนึ่งบอกเขาว่า เราจะไปขอวีซ่าเข้าอเมริกาละนะ ขอให้เราได้นะ เราก็ได้วีซ่าจริงๆ เวลาไปทำบุญที่ไหน จะบอกเขาว่า เราเอาบุญมาฝาก แล้วก็กรวดน้ำให้เขาทุกครั้ง ระยะหลังๆ เวลานั่งสมาธิ แผ่ส่วนกุศลให้เขาประจำ เวลาเปิดคลาสที่บ้าน เขาก็มาฟังทุกครั้ง เคยมีขโมยมางัดบ้าน 2 – 3 หน ตอนนั้นเรายังไม่ได้ปฏิบัติธรรม แต่ทำมาหากินอยู่อเมริกา พอกลับมาเที่ยวหลังสุด ซึ่งไปนานถึง 10 ปี มะม่วงต้นหนึ่งใน 3 ต้น ที่ปลูกอยู่ในบ้านมาก 10 กว่าปี ไม่เคยออกลูกเลย จะมีเพียงเขียวเสวย ต้นเดียวที่ให้ลูกทุกปี แต่น้ำดอกไม้ต้นนี้ไม่เคยออกลูกเลย พอเราย้ายกลับบ้านในปี 2010 มะม่วงน้ำดอกไม้ ออกลูกอย่างถล่มทลาย จนคุณแม่ที่อยู่อเมริกาตกใจมาก บอกให้เก็บลูกใส่ตู้เย็นไว้ให้แม่ หวานมาก กับเป็นเพียงครั้งเดียว ปีเดียวจริงๆที่เขาให้ลูก เราอยู่บ้านคนเดียวได้เก็บกินและแจกเพื่อนบ้านทุกวัน

นอกจากนี้ยังมีต้นมะขามเก่าแก่ที่คุณแม่ปลูกไว้นานกว่า 30 ปี แตกกิ่งก้านสาขา ให้ร่มเงาแก่ผู้ที่ผ่านไปผ่านมาได้อาศัยมาใช้ร่มเงาจอดรถรอรับลูกจากโรงเรียนบดินทร์เดชา 2 ทุกวัน ที่สำคัญที่สุด มันเป็นมะขามที่หวานมาก ดังนั้นรถพ่อค้าแม่ขายที่วิ่งผ่านไปมาหน้าบ้าน ชอบมาเก็บกันทุกวัน เขามีแต่ให้คุณ มะขามต้นนี้แม่รักมาก เพราะปลูกกับมือ เราก็รัก เป็นผู้รดน้ำดูแลเขาประจำ พอเรากลับมาจากอเมริกาได้แค่ 6 เดือน มีผึ้งมาอาศัยทำรังขนาดใหญ่ เป็นลางที่ดีมาก เพราะขณะนั้นมีเพียงเราอาศัยอยู่คนเดียว มะม่วงก็ออกลูกต้อนรับ ผึ้งก็มาทำรังอาศัยอยู่ด้วย สำหรับต้นมะขามเราบอกกับเขาว่า หากแม่ไปเราจะตัดนะ เพราะความใหญ่โตของเขา ไประกับสายไฟฟ้าของชาวบ้าน เราบอกกับเขา ที่น่าแปลกอีกอย่างคือ รากของเขาไม่เคยไชชอนทำให้ อิฐ หรือรั้วบ้านเสียหายแต่อย่างใด เขาน่ารักมาก อีก 7 ปี ต่อมาแม่ได้เสียชีวิตลงที่เชียงใหม่ เราจึงให้น้องสะใภ้จุดธูปและหาเจ้าหน้าที่มาตัดเขาออก เพราะขณะนั้นเราอยู่อเมริกา แค่ตัดต้นมะขามใจเราจะขาดให้ได้ ขนาดไม่ยอมอยู่ดูกับตา สั่งให้น้องตัด น้องได้เก็บเขียงที่ทำจากต้นมะขามไว้เป็นที่ระลึก 4-5 เขียง แอบมาให้เราเก็บไว้เป็นที่ระลึกหนึ่งเขียง ซึ่งเราเอากลับมาที่เชียงใหม่ด้วย ตามปกติแล้วการตัดต้นมะขามที่อายุแก่กว่า 20 ปี นี้มักจะโดนอาถรรพ์ แต่เราคุยกันรู้เรื่อง เมื่อไม่มีใครอยู่แล้ว กับต้องมาเป็นภาระให้กับเรา มันทำให้เราต้องขับรถเทียวไปเทียวมากรุงเทพฯ – เชียงใหม่ อยู่ถึง 8 ปี จนเราไม่ไหวแล้ว คนที่จะเช่าก็มีเยอะ เขาอยากเช่า เราตัดใจขายเลย เพราะมลภาวะอากาศในกรุงเทพฯ เริ่มทำเราป่วยทุกครั้ง หากถามว่ารักบ้านหลังนี้ไหม ตอบว่า รักมาก ก่อนจะขายก็ได้บอกกล่าวแม่ แม่ผ่านร่างคุณก้อยมาคุยกับเรา 3-4 หน เราไม่ยึด เราปล่อยเลย เจ้าที่เขารักเรามาก ไม่อยากให้เราไป ต้องต่อรองกันอยู่นาน ท้ายสุดเราบอกเราจะเปิดคลาสสมาธิให้เจ้าที่โดยเฉพาะหนึ่งคลาส ในวันที่ 5-11 พ.ย. 2018 เขายอมทันที ทันทีที่เปิดคลาสวันแรก นักเรียนทยอยกันมาเข้าคลาส บ้านขายได้วันนั้นเลย มันเป็นอะไรที่ต้องปล่อย เงินที่ได้จากการขายบ้านหลังจากแบ่งให้หลานชาย น้องสะใภ้แล้ว เราได้ขอกับแม่ว่า จะเก็บไว้ดูแลกายขันธ์ของเราในยามแก่เฒ่า จะเลิกการทำงานทั้งหมดแล้ว ซึ่งแม่ก็ยินยอม บอกเก็บไว้ๆ เมื่อออกมาแล้วก็ไม่ย้อนกลับไปอีก แต่ยอมรับว่าคิดถึงเขามาก อย่างไรก็ตามเราต้องยอมรับกับคำว่า “ ต้องเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย เมื่อวาระเวลามาถึง ” ผู้ปฏิบัติ จะต้องเรียนรู้กับคำว่า “ ปล่อย และวาง ” กันให้ได้ แม้จะเจ็บปวดอย่างไร จึงจะขึ้นชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรม จะต้องไม่ยึด
