ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 93
- มีนาคม 3, 2019
- ตอน บุญใหญ่

แดดยามบ่ายแก่ๆ ทอดลำไปทางปลายทุ่งหญ้า สุดสายตาพร้อมลมอ่อนๆ พัดยอดกล้าเขียวขจีในนาให้ปลิวเป็นระลอก มันเป็นหมู่บ้านที่ไกลปืนเที่ยง ปลายทุ่งนาสุดลูกหูลูกตาเป็นทิวเขาโอบล้อม นกกาต่างพากันบินส่งเสียงร้อง มันเป็นธรรมชาติของทุกวันที่เขาเห็นจนเคยชิน เด็กชายแดนเดินฝ่าเปลวแดดจากโรงเรียนในหมู่บ้าน กลับบ้านหลังโรงเรียนเลิกเช่นปกติทุกวัน เพื่อกลับบ้านเขาไม่เคยเถลไถลเกเร หรือติดกลุ่มเพื่อนอย่างเด็กคนอื่น ด้วยวัยเพียง 8 ขวบ เพราะสภาพแวดล้อมยังเป็นป่า เป็นหญ้าล้อมเมืองยังห่างไกลจากความศรีวิไล และกิเลสนาๆชนิด จิตใจของเด็กชายจึงถูกหล่อหลอมไปด้วยความบริสุทธิ์จากธรรมชาติแวดล้อม โดยเฉพาะพ่อแม่ที่เป็นชาวนา หากินแบบอาบเหงื่อต่างน้ำ หมู่บ้านที่เขาอยู่นอกจากจะไกลปืนเที่ยง เหตุการณ์นี้ยังย้อนยุคไปไกลหลายสิบปี อาจจะในสมัยปู่ย่าเราไปแล้ว
เป็นระยะทางเกือบ 3 กิโล ไปกลับ ที่แดนต้องเดินไปโรงเรียนทุกวัน ยกเว้น วันเสาร์อาทิตย์ แดนจะอยู่ช่วยพ่อ แม่ทำนา เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู ฝัดข้าว ผ่าฟืน เท่าที่แรงกำลังของเด็กชายวัย 8 ขวบจะทำได้ เพราะพ่อแม่สอนมาดี พ่อแม่มีศีลธรรม วันพระ วันหยุด ต่างทำอาหารไปวัดในหมู่บ้าน ตามขนบประเพณีของไทยอย่างไม่บกพร่อง อีกประมาณครึ่งกิโลจะถึงบ้าน เห็นหลังคาบ้านไกลๆ อยู่กลางดงมะพร้าว มีกอกล้วย กับดงมะละกอรายล้อม บริเวณบ้านของเขา ทันใดนั้นแดนมองเห็นกลางท้องนาไม่ไกลนักมีแอ่งน้ำแห้งเจิ่งนองอยู่ มันเคยเป็นบ่อน้ำเล็กๆ ซึ่งเขาต้องผ่านอยู่ทุกวัน 2วันที่แล้วโรงเรียนหยุด เมื่อเช้าเขาก็รีบไปโรงเรียนจนลืมสังเกต เขาจึงฝ่ากอหญ้าเข้าไปกลางแอ่งน้ำ เขาเห็น ปลาใหญ่น้อยกำลังตะกายหาน้ำ เพราะน้ำแห้งเนื่องจากแดดของปลายเดือนมีนาคม ปลาหลากหลายชนิดนอนจมโคลน รอความตายกันอยู่ มีทั้งปู ทั้งหอย เด็กชายแดน ไม่เคยมีรองเท้าเขาจึงลุยโคลนลงไป อย่างไม่ลำบากใจ ปลาหมอ ปลาช่อน ปลาดุก ต่างพากันซุกเข้ากอหญ้า แต่ไม่นานความร้อนก็ไล่ลามเข้าไป น้ำแห้ง หญ้ากรอบ แดนหันรีหันขวาง มองหาภาชนะจะจับหอยปูปลาเหล่านั้นไปปล่อยลงสระน้ำขนาดใหญ่ข้างบ้านเขา ท้ายสุดเขาจึงรีบวิ่งกลับมาบ้านเพื่อเอากระป๋องใส่น้ำขนาดใหญ่ พลางตะโกนบอกแม่ที่กำลังให้อาหารหมูอยู่ในเล้า “ แม่ครับเดี๋ยวผมมา น้ำมันแห้งปลากำลังจะตาย ผมจะจับปลาไปปล่อยสระน้ำครับแม่ ” “ ดีแล้วลูก ” แม่ตอบกลับมาด้วยความยินดี แดนใช้เวลาอยู่หลายเที่ยว เพื่อเป็นสารถีนำความเป็นอิสรภาพ ให้แก่สัตว์ผู้ยากเหล่านั้น เที่ยวสุดท้าย แดนได้ยืนมองดูปลาที่เจียนตายเหล่านั้น ที่ต่างก็คิดว่าตนต้องแห้งตายกันตรงนี้แน่นอน แต่เมื่อถูกปล่อยลงน้ำใสสะอาด สระกว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขต ต่างแหวกว่าย ส่ายครีบหางวนเวียนไปมาอย่างดีอกดีใจ เหมือนความฝัน บางตัวหงายแหงนหน้ากลับมามองเขา ปากขมุบขมิบเหมือนจะให้ศีลให้พร มันสร้างความสุข ความอิ่มเอิบให้แก่เด็กชายแดนอย่างไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เขารู้สึกดีมากๆ
คืนนั้นเมื่อนายคำดี และนางพลอย ผู้เป็นบิดามารดาของเด็กชายแดน กับแดนก็เป็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียว เขาล้อมวงกันกลางพื้นบ้านที่มีเพียงห้องเดียว ใช้เป็นทั้งห้องนอน ห้องครัว ห้องนั่งเล่นเสร็จในตัว บ้านใต้ถุนสูงกว่า สองเมตร มีบันไดพาด พอตกดึกก็ชักบันไดบ้านขึ้นเก็บ ใต้ถุนบ้านบรรจุเครื่องไม้เครื่องมือทำสวน ทำนา กระสอบ กระบุง จอบเสียม และเปลยวน ที่พ่อผูกไว้ให้แดนนอนเล่น
อาหารมื้อเย็นง่ายๆ แม่เก็บมะขามอ่อนมาทำน้ำพริกมะขาม มะละกอจากต้นมาทำแกงส้มกับปลาแห้ง ยอดผักที่พ่อเก็บมาจากป่าข้างทาง ข้าวนึ่งร้อนร้อนจากผลผลิตของพ่อกับแม่ ที่มีกินมีใช้กันตลอดปี ก็เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดมื้อหนึ่งของแดนแล้ว “ พ่อครับวันนี้ผมได้ช่วยชีวิตปลาที่บ่อข้างทางเยอะมากเลยครับ ผมมีความรู้สึกดีมากเลย ทำไมเป็นอย่างนี้ครับพ่อ ” แม่พลอยหันไปมองบุตรด้วยความรักแล้วอมยิ้ม “ เขาเรียกว่าอิ่มบุญลูก เพราะมันเป็นบุญใหญ่มาก เดี๋ยวกินข้าวเสร็จพ่อจะเล่าให้ฟังนะ ” นายคำตอบลูก พอดีเขาอิ่มข้าว เขามักจะไปนั่งพิงเสา สูบบุหรี่ใบจาก มองทอดสายตาออกไปยังป่าเขาทุ่งกว้างภายนอกดูลำแดดแสงสุดท้ายจะกำลังจะลับขอบดงมะพร้าวเบื้องหน้าไป นางพลอย ผู้เป็นแม่พลอยกระตือรือร้น อยากฟังเรื่องที่ผู้เป็นสามีจะเล่าให้บุตรฟังไปด้วย เด็กชายแดนเมื่อรอจนแม่อิ่ม จึงช่วยแม่เก็บสำรับกับข้าว และอาสาเป็นผู้ล้างถ้วยจานให้แม่เช่นทุกวัน แม่ไปคว้าตะเกียง มาจุดตอนแสงสุดท้ายลับยอดไม้พอดี เด็กชายแดนเดินมาทรุดนั่งข้างๆ นายคำผู้เป็นพ่อ นางพลอยคว้าแซ่ปัดยุงมาโบกพัดให้ลูกให้ผัว เช่นปกติ เสียงกระดิ่งจากคอควาย 3-4 ตัว ของหนานเทืองเพื่อนบ้านเดินกลับเข้าคอก ดังกิ๊งก้องๆ พร้อมควันไฟจางๆ ที่ลานบ้านของหนานเทือง พอมองเห็นได้เจือจางในความสลัว นายคำสูบบุหรี่ใบจากเสร็จ เขาก็เริ่มเล่า
สิ่งที่ลูกทำไปในวันนี้ มันเป็นบุญใหญ่มากที่พ่อภูมิใจ พ่อจะเล่าให้ฟัง ในสมัยพุทธกาลพระสารีบุตรซึ่งเป็นอัครสาวกข้างขวา ผู้ทรงเปี่ยมด้วยปัญญาได้บวชให้สามเณรรูปหนึ่งอายุ 7-8 ขวบ พระสารีบุตรทรงโปรดปราณสามเณรรูปนี้มาก เณรเชื่อฟัง อ่อนน้อม ว่านอนสอนง่าย ขยัน มีระเบียบวินัยเกินตัว พระสารีบุตรจึงมีความเมตตาสามเณรเป็นพิเศษ บิณฑบาตได้อาหารอะไรมาก็นำมาแบ่งสามเณรอยู่เนืองนิจ
จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งขณะที่พระสารีบุตรเข้าสมาธิเช่นปกติทุกวัน แต่วันนี้เมื่อออกจากสมาธิมาแล้ว สีหน้าพระสารีบุตรท่านไม่ได้อิ่มเอิบเลย วันถัดมาพระสารีบุตรจึงเรียกสามเณรเข้ามาพบ แล้วบอกแก่สามเณร ตรงๆ ว่า “ เณรเอ๋ย …. เจ้าจงกลับบ้านคืนสู่พ่อแม่ของเจ้าเสียเถิด จงใช้เวลาที่เหลือนี้ไปทดแทนคุณท่านอยู่ใกล้ชิดปฏิบัติท่าน เพราะเณรจะหมดอายุขัยในอีก 7 วันข้างหน้า ”
เป็นที่รับรู้กันว่าพระสารีบุตร พูดอะไรออกมาจะเป็นตามนั้น พูดคนศรัทธาท่านมาก
เมื่อสามเณรได้ฟังเช่นนั้นได้สลดหดหู่สังเวช จิตตกเป็นอันมาก จึงกราบลาพระคุณเจ้าเดินทางกลับบ้าน ตามที่ท่านแนะนำ ดวงใจน้อยๆ ของสามเณรสับสนวุ่นวายจนหมดเรี่ยวแรง จะพากายคืนสู่เหย้าเดินด้วยเท้า ระยะการเดินทางชั่วคืนชั่ววันจึงจะถึงบ้านสามเณร ระหว่างทางที่ต้องเดินข้ามคูคันนา เขามองเห็นดินแตกระแหง แอ่งน้ำเป็นปลั๊กจวนจะแห้งเต็มไปด้วยโคลนตม และพลันได้ยินเสียงปลาดีดกระโดด เพื่อหาทางเอาชีวิตรอดจากการแห้งตาย มีปลาเล็กปลาน้อยกุ้ง หอย ปู อีกนับไม่ถ้วน สามเณรยืนนิ่งอึ้งต่อภาพเบื้องหน้าที่กำลังจะมีการตายหมู่นับชีวิตไม่ถ้วนในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เขาสอดสายตามองไปรอบๆเบื้องหน้าไกลอีกแทบจะสุดสายตาจึงเห็นลำน้ำทอดตัวสลับประกายแดดระยิบระยับอยู่ พร้อมละลอกน้ำที่พลิ้วด้วยแรงลมอยู่ไกลๆ แม่น้ำเนรัญชราที่ทอดตัวยาวไกลผ่านหลายเมือง และผ่านหมู่บ้านของเณร เมื่อเห็นความหวังแม้จะริบหรี่ เณรได้ใช้ผ้าจีวรออกพับหลายๆพับเป็นสี่เหลี่ยมสี่มุม เอาปลาใส่ตรงกลางให้ได้มากที่สุดพร้อมน้ำขลุกๆ แล้วเดินอย่างรวดเร็วไปตามคันนาที่แห้งผาก เพื่อนำปลาเหล่านั้นไปปล่อยลงแม่น้ำ สามเณรเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายเที่ยวจนหน้ามืด เขาพักใต้พุ่มไม้เพื่อจิบน้ำ จิตใจจดจ่ออยู่กับภาพปลาที่เหลืออยู่ในแอ่ง จำได้ปลาบางตัวดีดดิ้นเข้ามาเหมือนจะรู้ว่า รอดตายแล้ว เข้ามาให้เขาจับแต่โดยดี ในยามนี้เขาลืมเรื่อง ที่เขาจะต้องตายอย่างสนิท จิตใจอยู่ที่จะช่วยปลาในแอ่งให้หมดจนตัวสุดท้าย แล้วเขาก็ยันกายลุกขึ้นยืน ก้มๆเงยๆกลางแดดเปรี้ยง จับชีวิตสัตว์อย่างระมัดระวังกลัวเขาจะเจ็บ กลัวเขาจะตาย ท้ายที่สุดเมื่อหมดเที่ยวสุดท้ายเขาแทบจะฟุบ เสบียงกรังที่เอามาพอเพียงหนึ่งวัน หลังจากหายเหนื่อยเขาจึงนำเสบียงมื้อสุดท้ายออกมารับประทานแล้วออกเดินต่อ เขามาถึงบ้านเอาเกือบเช้าของวันถัดมา เมื่อบอกความจริงให้พ่อแม่พี่น้องได้รับทราบ ทุกคนเชื่อในคำกล่าวของพระสารีบุตร ต่างเศร้าสลดอาลัยอาวรณ์ในชะตากรรมของสามเณร สามเณรได้ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน หาบฟืนขายทุกอย่างตามปกติ จนเวลาผ่าน 7 วันไปแล้ว สามเณรก็ยังไม่ตาย เป็นที่แปลกใจกันมาก ครอบครัวสามเณรจึงต่างพากันกลับไปนมัสการพระสารีบุตร และจะให้สามเณรกลับมาอยู่กับพระสารีบุตรตามเดิม พระสารีบุตร จึงถามสามเณรว่า “ ในเวลา 7 วันนี้ เจ้าไปทำอะไรมาบ้าง เล่าให้เราฟังสิ ” “ ระหว่างที่ผมเดินทางกลับบ้าน ผมพบแอ่งน้ำแห้งมีปลา ปู หอย จำนวนมากกำลังจะแห้งตาย ผมได้ใช้ผ้าจีวรของผมนำปลาเหล่าน้ำไปปล่อยลงแม่น้ำครับพระคุณเจ้า ” “ หา …. นั่นละบุญใหญ่ละมันเท่ากับต่อชีวิตของเจ้าที่ชะตาขาดแล้ว …. ให้มีอายุยืนยาวออกไปอีก …. ดีแล้วๆ เราอนุโมทนากับเจ้าด้วย ”
ดังนั้นในยุคปัจจุบันนี้ มนุษย์เราจึงนิยมปล่อยปลากัน ถ้าเราใช้ความสังเกตให้ดีว่า เวลาเราเดินเข้าแผงปลาเพื่อเลือกปลาจะมาปล่อย จะมีปลาบางตัวดีดตัวออกมาจากกระป๋อง จากกะละมังกันโผงผาง สัตว์มันเหมือนจะรู้ …. จึงเอวังเรื่องบุญใหญ่ลงด้วยประการฉะนี้

พลิกตำนาน …. ของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ฉบับสมบูรณ์ กำลังจะออกเป็นรูปเล่ม จากปากคำบอกเล่าของหลวงปู่ทวดที่เมตตาเราอย่างสูง หลวงปู่ …. เปิดเผยว่า เกิดอะไรขึ้นกับสามเณร คนที่ถือดอกมณฑาสวรรค์มาหาหลวงปู่ ร่างกายขันธ์ของทั้ง 2 อยู่ที่ไหน และพระองค์ที่ไปปรากฏที่มาเลเซียนั้นใช่หลวงปู่ทวดหรือไม่ ที่ว่าหามร่างท่านไปน้ำเลือดน้ำหนองหยดที่ไหนให้ปักหมุดตรงนั้น ร่างนั้นใช่หลวงปู่ทวดหรือไม่? หลวงปู่ถอนแล้ววิธีถอนทำอย่างไร? คือไม่อยู่แล้วไม่ปรารถนาพุทธภูมิแล้ว …. จะถูกนำมาถ่ายทอด ทุกคำสนทนากับเรา โดยแบ่งเล่มนี้เป็น 3 หมวด