ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 37

ครั้งนี้เล่นกันไม่เลิก หลอกกันจนเช้า….เอากันอย่างนั้นเลย….วิธีเดียวคือเข้าสมาธิอธิษฐานจิต หลับลึกไปเลย ปิดทวารทั้งหมดไม่รู้ไม่เห็นเป็นพอ แต่ต้องเป็นคนที่ปฏิบัติจนพลังจิตสามารถควบคุมประสาททุกอย่างของกายได้หมดแล้วเท่านั้นจึงจะทำได้ หรือจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าวได้แล้วเท่านั้น ความกลัวตอนนี้ไม่สามารถใช้ความบ้ามาระงับได้ เพราะมากันเป็นฝูง….ทางเดียวคือ น๊อคตนเองให้หลับไปเลย ไม่ต้องรู้ต้องเห็นอะไรทั้งนั้น แสงออร่ารัศมีของการปฏิบัติของเราจะทำให้พวกเขาแตะต้องตัวเราไม่ได้เลย

เริ่มเรื่องเมื่อเราเดินสายไปอเมริกา เมื่อปี 2014  มีกำหนดอยู่ 6   เดือน ในระหว่าง 6 เดือนนี้ได้รับเชิญไปถึง 6 มลรัฐ จนกระทั่งมาถึงมลรัฐเท็กซัส เมืองฮิวสตัน ได้มีโอกาสพบกับคนไทยคนหนึ่ง ชื่อ แมกกี้ เป็นเจ้าของร้านอาหารไทย กลางใจเมือง ฮิวสตัน บนถนนเวสไทม์เมอร์ ร้านอาหารเธอ เจ้าที่ค่อนข้างแรง แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้ามาทำพิธีอย่างไร ก็ยังปลดบรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากลนี้ให้หายไปได้ จนกระทั่งเราได้มีโอกาสไปทำพิธีให้ร้านจึงโล่ง สว่างไสวไปหมดซึ่งมีหลวงพ่อใหญ่ร่วมทำพิธีด้วย   วันหนึ่งได้นัดพบกับหลวงพ่อใหญ่ที่ร้านอาหารนี้  หลวงพ่อทักทันทีว่า ร้านโล่งแล้ว เพราะคุณโยมมาเหยียบ อาตมาพยายามจะปลดร้านนี้มานานยังปลดไม่ได้ เมื่อคุณแมกกี้ เห็นว่าร้านทำรายได้ดีขึ้น กับมีคนติดต่อจะขอซื้อในเร็ววัน คุณแมกกี้ จึงได้พูดถึงที่ของเธอชิ้นหนึ่งในอยุธยา จำนวน 200 ไร่ ทันทีที่เธอพูดถึง เรามองเห็นที่ผืนใหญ่ลักษณะเป็นหลังเต่า จึงถามเธอไปว่า “ปกติเวลาน้ำท่วมอยุธยาจะโดนท่วมเกือบหมด แต่ที่ตรงนี้ ไม่ท่วมเพราะเป็นที่หลังเต่าใช่ไหม?” “ใช่ค่ะ พี่มองเห็นเลยหรือ?” “ใช่” มองเห็นถนนตัดผ่านกลางที่ กับเห็นซากศพเกลื่อนท้องทุ่งเลย ที่ยังเป็นทุ่งนาสลับละเมาะไม้อยู่ใช่ไหม?”  “ใช่ค่ะ หนูจะเล่าให้ฟัง บรรพบุรุษเริ่มแรก ของหนูเลย  เกิดสมัยปลายๆกรุงศรีอยุธยา ต่อต้นสมัยกรุงธนบุรี หลายร้อยปีมาแล้ว ครอบครัวตกทอดลงมาทุกรุ่นมีความรักสมานสามัคคีกันอย่างดี เมื่อรุ่นปู่ย่า ตา ยาย ล่วงลับไป จึงมีประเพณีตกทอดเก็บกระดูกของบรรพบุรุษทุกรุ่นมาบูชาไว้ในบ้าน บ้านหลังนั้นเป็นบ้านไม้ทรงไทยขนาดใหญ่มากอยู่ในบริเวณที่ 200 ไร่ ของคุณแมกกี้ ที่อยุธยา เราย่อมรู้กันดีว่าบ้านไม้นั้นภายในบ้านจะมืดทึบ เป็นทุนอยู่แล้ว รวมกับการนำกระดูกของบรรพบุรุษทุกท่านมาเก็บ ก็เท่ากับทุกดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ ย่อมสิงสู่อยู่ที่บ้านนี้ด้วย ยิ่งทำให้บรรยากาศของบ้านนี้ น่ากลัวขึ้นไปอีก แน่นอนบ้านนี้ไม่มีใครสามารถอาศัยอยู่ได้ คุณแมกกี้ มีพี่น้อง 9 คน ทุกคนถูกเลี้ยงมาจากบ้านนี้แต่เด็ก จึงมีความผูกพันกับบ้านหลังนี้มาก เพียงแต่ไม่มากพอที่จะเข้าอยู่อาศัยได้ ทุกคนต่างแยกย้ายไปกับครอบครัวตนเอง ไปทำมาหากินต่างเมือง ต่างประเทศกันเป็นแถว จนกระทั่งเธอไปใช้ชีวิตยังต่างแดน พี่น้องแต่ละคนแยกย้ายกันอยู่กระจัดกระจายไปคนละทาง ซึ่งแต่ละคนมีความต้องการจะขายที่ชิ้นนี้เช่นกันทุกคน แต่ขอยกเว้นบ้านเก่าเรือนไทย กับบริเวณล้อมรอบเอาไว้เป็นอนุสรณ์ของวงศ์ตระกูล ที่พวกเขาไม่ยอมขาย

ส่วนซากศพที่เราเห็นเกลื่อนทุ่งไปหมดนั้นเกิดจาก เมื่อพระยาตากได้กอบกู้กรุงศรีอยุธยาได้ (กรุงแตกครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2310) ได้ถอยร่นมาตั้งเมืองใหม่ที่กรุงธนบุรีในปัจจุบัน แล้วให้สถาปนาพระยามหากษัตริย์ ขึ้นเป็นต้นพระราชวงศ์จักกรี ชาวบ้านชาวนา ครอบครัวแม่ทัพนายทหาร ที่ตกหล่นอยู่ในเขตกรุงศรีอยุธยา ต่างพากันอพยพถอยร่น ลงมาทางกรุงธนบุรี หอบลูกจูงหลานขึ้นเกวียน พากันมาเป็นขบวน ต่างถูกพวกพม่าไล่ตี บ้าง โจรดักปล้นบ้าง ฆ่าชิงทรัพย์สมบัติ บ้างก็นำทรัพย์ไปฝังซุกซ่อนเอาไว้หวังว่าสักวันหนึ่งจะมีโอกาสย้อนกลับมา  กลับกลายเป็นถูกฆ่าตายกันทั้งหมด ซากศพเหล่านี้ยังตกค้างอยู่ในที่ของคุณแมกกี้ กับที่ชิ้นนี้ คือเส้นทางสายนั้นระหว่างกรุงศรีอยุธยา เข้าสู่กรุงธนบุรี มันเป็นโชคหรือเป็นซวยกันแน่ จงพิจารณากันเอาเอง เพราะที่ชิ้นนี้ครอบครัวคุณแมกกี้พยายามจะขายกันมาหลาย 10 ปียังขายไม่ได้ “เอ…!!!! พี่ขอถามหน่อยเคยมีคนไปตั้งศาลทำพิธีอะไรในที่ไหม?” “ห้า….พี่มองเห็นเลยหรือ?” “ใช่พี่เห็นเป็นศาล….ตั้งอยู่ เกิด อะไรขึ้น” “พี่ชายหนู ได้จ้างคนมาทำพิธีเซ่นไหว้เพื่อให้ขายได้….แต่ไม่สำเร็จ แถมไม่นานคนทำพิธีก็ตายโดยหาสาเหตุไม่ได้”

“พี่….หนู อยากให้พี่ไปดูที่ ที่อยุธยาให้ หนูจะติดต่อพี่ชายให้มารับพี่ที่บ้าน ที่กรุงเทพฯ” เมื่อตกลงนัดแนะกันเรียบร้อย รวมทั้งราคาค่าจ้าง….จากนั้นไม่นานเราได้เดินทางกลับเมืองไทย มีเวลาพักผ่อนยาวนานพอสมควร ก่อนที่พี่ชายคนโตของคุณแมกกี้ จะมารับมีหมายกำหนดการค้างคืนหนึ่งคืน…..ที่บ้านหลังนั้น โดยขณะนั้นเราไม่เคยรู้มาก่อนว่า ความเฮี้ยนความแรงของบ้านหลังนี้มันขนาดไหน….ขนาดแม้แต่ลูกหลานเหลนของพวกเขายังไม่กล้ามาอยู่ นอกจากจะมีกรณีพิเศษอย่างเช่น พาเรามาลองของในครั้งนี้  เมื่อเขาขับรถพาเราเข้ามาในบริเวณที่ดิน ยังเป็นทุ่งนาสลับละเมาะ นาข้าว ในบางส่วนมีถนนลูกรังตัดผ่ากลางที่ ตามที่เรามองเห็น ท้องฟ้าสีคราม มีนกกระยางสีขาวบินขวักไขว่ ลมเย็นๆแถมบรรยากาศตอนนั้นกำลังสบาย แดดร่มลมอ่อนๆ ไม่นานรถได้มาจอดที่บ้านทรงไทยกลางดงไม้ร่มรื่น ใต้ถุนโล่ง บ้านใหญ่กินเนื้อที่ เกือบครึ่งไร่ ใต้ถุนสูงโล่ง มีเรือสองสามลำมัดติดอยู่กับพื้นใต้ถุนด้านล่าง แสดงว่าสมัยก่อนเขาใช้เรือเป็นพาหะ จากตัวบ้านอยู่ไม่ห่างจากคลอง ซึ่งใช้พายเรือสัญจรไปมา บันไดขึ้นบ้านด้านหน้า มีไม้เถา ไม้เลื้อยขึ้นปกคลุม เพราะขาดคนดูแล พื้นบ้านเป็นไม้โล่งจากหน้าบ้านไปหลังบ้าน พี่ชายคุณแมกกี้ มากับบิดาของเธอซึ่งอายุเกือบ 90 แล้วแต่ยังแข็งแรงอยู่ ตามประสาชาวนา

ทันทีที่ขึ้นถึงห้อง พ่อกับพี่ชายคุณแมกกี้ต่างแยกย้ายกันเข้าห้องของตนเองคนละห้อง ตรงชานบ้านมีหิ้งพระตั้งอยู่ มีหน้าต่างรอบบ้าน นอกหน้าต่างเป็นต้นไม้ขึ้นเบียดเสียดกันดูมืดครึ้ม หน้าต่างเป็นกระจกมองออกไปเห็นเงาไม้ถนัดตา เราเดินเลียบไปด้านหลังหิ้งพระมองออกนอกหน้าต่างผ่านแมกไม้ออกไป เห็นลานดินกว้างมีเจดีย์ขนาดย่อมขึ้นอยู่ คุณแมกกี้เล่าว่า ใช้เป็นที่ทำศพบรรพบุรุษของเธอ เมื่อถึงเวลาของเธอ เธอก็จะต้องกลับมาเผาที่เจดีย์นี้แล้วกระดูกเธอก็ต้องถูกบรรจุเอาไว้ในโหลเก็บไว้ในตู้กระจกที่บ้านหลังนี้ เมื่อพูดมาถึงตรงนี้เราจึงเดินดูภายในรอบบ้านไปเรื่อยๆ จนถึงตู้กระจกขนาดใหญ่เหมือนตู้โชว์ของเก่า ติดตั้งอยู่เต็มฝาผนังบ้านด้านทิศตะวันตก ในตู้เต็มไปด้วยไหลายครามขนาดย่อมๆ ไม่ต้องสงสัยภายในไหทุกใบบรรจุกระดูกบรรพบุรุษ ของเธอทุกคนรวมกัน อยู่ตรงนี้เอง…..Welcome to the tombstone บอกตนเองได้เลยว่า….เราโดนลองของเข้าให้แล้ว คืนนี้ท่าจะต้องใช้กรรมฐานชั้นเซียน หนีเอาตัวรอดด้วยการปิดทวารตนเองทั้งหมด หลับลึกไปเลย   ด้านหลังบ้านมีโต๊ะทานอาหาร ครัวที่เก็บภาชนะจานชามมีประตูมุ้งลวดเก่าๆ เปิดทะลุออกไปยังชานหลังบ้านเปิดโล่งเป็นลานชะล้าง ซักผ้า ล้างจาน ในรูปของไม้ระแนงทะลุใต้ถุนเบื้องล่าง หลังบ้านมีบันไดเดินลงไปยังลานดินกว้าง  ตั้งที่ฟั่นข้าว ตอกข้าวตำข้าว ตุ่มรองน้ำฝนขนาดโบราณยังคงสภาพ  เราเดินกลับเข้ามากลางตัวบ้านจึงสังเกตเห็นบันได ก่อนถึงโต๊ะทานข้าวเป็นบันไดขึ้นไปยังตัวบ้านชั้นบน เสียงพี่ชายคุณแมกกี้ทัก “ผมจะกางมุ้งให้อาจารย์นอนหน้าหิ้งพระ โอเคไหมครับ อาจารย์จะทานอะไรหรือเปล่าครับ?” “เราขอน้ำขวดเดียวพอ เราทานมื้อเช้ามาแล้ว เรานอนที่ไหนก็ได้” “อาจารย์เห็นห้องน้ำแล้วใช่ไหมครับ?” “เห็นแล้ว ขอบใจนะ” ตามหมายกำหนดการ รุ่งเช้าวันถัดมาเราต้องจัดตั้งโต๊ะพร้อมเครื่องเซ่นไหว้ ให้เจ้าที่กับบรรพบุรุษของที่ชิ้นนี้ แต่ความรู้สึกบอกตนเองว่า เขาไม่ยอมให้ขาย แค่รอดชีวิตไปจากตรงนี้ได้ ก็นับว่าโชคดีแล้ว แสงสว่างที่เล็ดลอดเงาไม้เข้ามา เริ่มขมุกขมัวลงทุกที ชายชราผู้เป็นพ่อได้เปิดทีวีจอใหญ่แล้วเอนกายลงบนเก้าอี้หวายซึ่งอยู่หน้าห้องนอนของเขา ห่างจากมุ้งเราไม่ถึง 5 เมตร แล้วเขาก็ไม่สนใจอะไรใครทั้งสิ้นจับจิตจับใจอยู่กับข่าวสารบนจอทีวี ส่วนพี่ชายคุณแมกกี้ หลังจากเอามุ้งมากางปูฟูกให้เราหน้าหิ้งพระเสร็จ….เขาก็หายเข้าห้องไปเลยอย่างมีพิรุธ ห้องของชายทั้งสองอยู่ตรงข้ามกัน

มุ้งของเราอยู่หน้าหิ้งพระซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างห้องของสองชาย อากาศมืดลงอย่างรวดเร็ว เราได้อาบน้ำเรียบร้อยมุดเข้ามุ้ง หันหน้าไปทางหิ้งพระแล้วเริ่มภาวนาสวดมนต์เบาๆ แม้เสียงทีวีจะรบกวนบ้างเราก็ไม่ใส่ใจ เมื่อสวดมนต์เสร็จต่อด้วยการนั่งสมาธิก่อนนอนหนึ่งชั่วโมงตามปกติ แล้วแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เจ้าที่เจ้าทางวิญญาณพเนจร

วิญญาณบรรพบุรุษในบ้านนี้อย่างถ้วนทั่ว ไม่ช้าได้ยินเสียงชายชราที่นั่งดูทีวีอยู่ปิดทีวีลุกขึ้นยืนบิดตัว แล้วเดินเข้าห้องหายเงียบไป ไฟดวงสุดท้ายหน้าประตูห้องเขาถูกปิด จากนั้นเหลือแต่ความมืดของธรรมชาติ เงาไม้นอกหน้าต่างนอกบ้าน เป็นเงาตะคุ่มๆไหวตัวไปมาอยู่ภายนอก พร้อมกับเสียงใบไม้ กิ่งไม้เสียดสีกัน มันเป็นเสียงจากธรรมชาติกล่อมให้เราหลับได้อย่างดี  ความเงียบเข้ามาครอบงำ สติเรายังตื่นอยู่เต็มที่ แม้จะล้มตัวลงนอน มิได้นอนเปล่ากำหนดจิตทำสมาธิ เอาลมหายใจเป็นอารมณ์ ก่อนที่จะมีอะไรมาก่อกวนความเงียบ อะไรหรือใครที่เราไม่อยากจะคิด รีบ กำหนดจิตปิดทวารทั้งหมดให้หลับไปแบบหลับลึกในทันที ประมานว่าตูก็กลัวเป็นเช่นกัน….ขอตัวหลับก่อนละ….กลางดึกเมื่อเปลี่ยนท่านอน เป็นธรรมดาที่สติจะกลับคืนมา คว้านาฬิกาเอาไฟฉายที่พกติดตัวประจำมาส่องดู มันเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าๆไปแล้ว ขณะที่กำลังจะหลับไป พลันได้ยินเสียง ผับ ผับ ผับ!!!! ทักทายมากลางดึก ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงลมพัดผ้าใบ หรือกิ่งไม้ ที่ถูกลมพัดอยู่ภายนอก จึงแหงนหน้ามองฝ่าความมืดออกนอกหน้าต่าง กิ่งไม้ทุกกิ่งก็สงบแน่นิ่งอาจมีไหวบ้างเพียงเล็กน้อย ลมมันไม่แรงขนาดนั้น ถ้าเช่นนั้น มันคือเสียงอะไรกันแน่ จึงสงบสติตั้งใจฟังอีกครั้งแล้วกำหนดจิต ถามในสมาธิดู คำตอบยังไม่มาเพราะมีเสียงอย่างอื่นแทรกเข้ามาอีก เสียงทั้งหมดมาจากทางหลังบ้านตรงตำแหน่งห้องครัวห่างจากที่เรานอน เพียง 20 เมตร (เพราะบ้านเขากว้างมาก) จิตส่งคำตอบมาว่า เสียงแรก คือเสียงฝัดข้าว เสียงที่สองคือเสียง ช้อน ถ้วย จานชามกระทบกัน เสียงที่สามแทรกขึ้นมาอีกคือเสียงประตูมุ้งลวดหลังบ้านเปิดปิดดัง ผาง ๆ ๆ เหมือนมีคนมากกว่า สิบคนเดินเข้าเดินออกตลอดเวลา จิตรายงานมาอีกว่า เขากำลังตระเตรียมปรุงอาหารไปวัดในวันเทศกาลที่เขาเคยปฏิบัติกันมาเช่นทุกครั้ง กับเขากำลังจัดโต๊ะสำรับกับข้าว เตรียมทานข้าวกัน เสียงช้อนกระทบจานดังฟังชัดในความมืด แต่ไม่มีเสียงคนพูดจาอะไรกันเลย เรายังอยู่ในท่านอน แต่สติตื่นเต็มร้อยตั้งแต่ได้ยินเสียงแรกแล้ว จากนั้นไม่นาน ปรากฏเงาดำๆ เกือบสิบกว่าเงาทับซ้อนกันบนพื้นกระดาน เดินตรงมาทางหิ้งพระตรงบริเวณที่เรานอนอยู่ พูดง่ายๆพากัน ตรงมากรูอยู่รอบมุ้งเรา แต่สายเสียแล้ว ด้วยความกลัวสุดขั้วหัวใจ เรารีบกำหนดจิตคอพับหลับปิดทวารทั้งหมด ไปก่อนละ ใครจะเล่นอะไรกันทำอะไรกัน ตูไม่อยู่แล้ว มันเป็นอาการที่สบายเรียกว่าหลับในสมาธิ หลับลึกเหมือนสะกดจิตตนเอง เพราะจะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อทั้งมวลในร่างกายมันผ่อนคลาย สร้างความสบาย สงบ แล้วตกภวังค์ไปในทันที ที่ทำได้เพราะมีความเชื่อว่า จากบุญบารมีคุณงามความดีที่สั่งสมมาหลายชาติ ไม่มีวิญญาณใดๆสามารถเข้าถึงตัวเราได้ อีกทั้งแสงออราจากตัวเรามันบ่งบอกให้เห็นได้ชัด….อย่างมากเขาก็แค่เข้ามาทดสอบสมาธิจิตเท่านั้น

เช้ามาเราตื่นแต่เช้าด้วยอาการแช่มชื่น ทุกคนมาพร้อมกันที่โต๊ะอาหาร ญาติพี่น้องฝ่ายหญิงของคุณแมกกี้ ต่างพากันมาสมทบที่บ้านอีก 2-3 คนเพื่อช่วยกันจัดโต๊ะบวงสรวงกับนำอาหารเช้ามาให้เราทาน โดยเราไม่ยอมปริปากพูดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ที่โต๊ะอาหารหลังจากที่พี่ชายคุณแมกกี้แนะนำให้รู้จักทุกคนแล้ว  เขาพูดขึ้นว่า “ผมยอมรับครับอาจารย์เก่งมาก

บ้านหลังนี้เขาจะไม่ยอมให้คนนอกตระกูลมาค้างแรมเด็ดขาด กับไม่มีใครกล้ามา แม้แต่พวกผมเองถ้าไม่จำเป็นไม่มาเด็ดขาด เมื่อคืนผมแอบย่องออกมาส่องดูอาจารย์ข้างมุ้งเห็นอาจารย์นอนนิ่งหลับสบายเลย….จึงรู้ว่าอาจารย์มีดี” หลังทานอาหารเสร็จ เราพากันไปจัดโต๊ะทำพิธีเซ่นไหว้ ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างบ้านติดลำคลอง แต่งานนี้เรายอมรับว่า ไม่ว่าจะยื่นข้อเสนออะไรให้เขา เพื่อให้พวกเขายอมใจอ่อนปล่อยที่ชิ้นนี้ไป อย่างไรๆ เขาก็ไม่ยอมปล่อย แถมบอกเราอย่ามายุ่ง เราจึงต้องถอย กับพี่น้องของเขาทุกคน ไม่มีใครจะมีบารมีเพียงพอที่จะขายที่ชิ้นนี้ได้ เพราะเงินมันมากกว่าร้อยล้าน…. คือบุญไม่มีบารมีไม่ถึง….จากนั้นเราก็ไม่ได้ข่าวที่ชิ้นนี้อีกเลย….เป็นที่ ที่มีอาถรรพ์แรงอีกชิ้นหนึ่ง

ป.ล. พลิกตำนาน…ของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ฉบับสมบูรณ์ กำลังจะออกเป็นรูปเล่ม จากปากคำบอกเล่าของหลวงปู่ทวด ที่เมตตา เราอย่างสูง หลวงปู่…เปิดเผยว่า เกิดอะไรขึ้นกับสามเณร คนที่ถือดอกมนทาสวรรค์ มาหาหลวงปู่ ร่างกายขันธ์ของทั้ง 2   อยู่ที่ไหน และพระองค์ที่ไปปรากฏที่มาเลเซีย นั้นใช่หลวงปู่ทวดหรือไม่ ที่ว่าหามร่างท่านไป น้ำเลือดน้ำหนองหยดที่ไหนให้ปักหมุดตรงนั้น ร่างนั้นใช่หลวงปู่ทวดหรือไม่?  หลวงปู่ถอนแล้ววิธีถอนทำอย่างไร? คือไม่อยู่แล้วไม่ปรารถนาพุทธภูมิแล้ว…จะถูกนำมาถ่ายทอด ทุกคำสนทนา