ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 69

คัดลอกอย่างคร่าวๆ จาก ฅนเล่าเรื่อง …เมื่อพูดกันถึงอิทธิฤทธิ์ ของเสือสมิง 2 อย่างนั้น แบบชนิดแรกจะมีอิทธิฤทธิ์มากกว่าเพราะได้มาจากการร่ำเรียน จงใจเจตนาแก่กล้าจะเรียนเดริฉานวิธี วิชาแปลงตน เพราะตามกฎกติกานั้น ผู้ที่จะมาร่ำเรียนวิชาแปลงตัวเป็นเสือสมิงกันได้ ขั้นแรกเลยจะต้องมีคุณสมบัติครบ คือสำเร็จวิชาไสยศาสตร์ขั้นต้นอย่างแตกฉานมากันก่อน คือ

  • ร่างกายต้องอยู่ยงคงกระพัน ฟันแทง ยิงไม่เข้า แบบมหาอุตม์
  • มีการคลาดแคล้ว
  • มีมนต์กำบังตา

ดังนั้นหากพลาดท่าต้องกลายเป็นเสือสมิงไปแบบถาวรกลับคืนร่างมาเป็นคนไม่ได้อีก  จึงมีอิทธิฤทธิ์มากกว่าดังนี้  เสือตัวนั้นย่อมจะฟันแทงไม่เข้า ยิงไม่เข้า อยู่ยงคงกระพัน ไม่เกรงกลัวต่อพระคาถาอาคม ธรรมดาๆ  ล่องหนกำบังตา แปลงกายเป็นญาติ พี่น้องของเหยื่อ แปลงกายเป็นสัตว์อื่นๆ  จำลองแปลงกายเป็นคนที่มันเคยฆ่ากินมาแล้ว เช่น พระ พรานป่า  และญาติพี่น้องของเหยื่อที่มันกำลังจะฆ่า แต่จะทำเฉพาะกลางคืนเท่านั้น จุดประสงค์ที่เสือสมิงต้องแปลงกาย เพื่อล่อหลอกให้คนตายใจ เชื่อใจ หลงกล จากนั้นก็จะฆ่าคนผู้นั้นแล้วจับกินเสีย  มักแปลงตนเป็นชายบ้าง หญิงบ้าง มักถือตะเกียงหรือคบเพลิง ซึ่งพรานผู้นั่งห้างถ้าวิชาอาคมแก่กล้ารู้เท่าทันเสือสมิง เขาจะยิงที่ตะเกียง หรือคบเพลิงนั้นทันที นัยว่ามันคือ ตาของเสือสมิง  ทั้งนี้ทั้งนั้นเสือสมิงจะใช้เล่ห์เพทุบายทุกอย่าง พูดจนพรานที่อ่อนวิชาไม่รู้เท่าทันปีนลงมาจากห้าง เพื่อหรอกให้ตายใจแล้วจับฆ่ากินเสีย จากตำนาน พรานป่าโดนกันมามากแล้ว จนเขาออกเป็นกฎเหล็กเลยว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามลงจากห้าง จนกว่าแสงทองจะจับขอบฟ้า ใครจะเกิดใครจะตายมาพูดหว่านล้อมอยู่ใต้ห้างยามดึกดื่นค่ำคืน ห้ามลงเด็ดขาด ยิงได้ยิงเลย แต่แม้ยิงถูกจังๆ กระสุนยังทำอะไรเสือสมิงไม่ได้

วิธีฆ่าเสือสมิงนั้น ทำได้ 2 อย่าง

วิธีแรก ใช้กระสุนเงินบริสุทธิ์กำกับอาคม ยิงเข้าหัวใจ ถ้าพลาดเปาไปเข้าที่อื่น ก็ยังเข้าอยู่แต่ไม่สามารถทำให้มันตายได้ มีแต่จะสร้างความอาฆาตมาดร้ายให้กับเสือมากยิ่งขึ้น

วิธีที่ 2 คือ ใช้วิธี เกลือจิ้มเกลือ  คือใช้วิญญาณ กับวิญญาณ เข้าห้ำหั่นต่อกรกัน โดยการปลุกเสก หุ่นพยนต์ ต่างๆ ออกสู้กับเสือสมิง เช่น วัวธนู เสือแดง หุ่นพยนต์ คนธรรพ์ หุ่นพยนต์พญายักษ์ ปู่เวสสุวรรณ เพียงแต่คนที่จะเสกหุ่นเหล่านี้ได้ จะต้องมีดีกันจริงๆ มีตบะแก่กล้า ศีลบริสุทธิ์ อีกทั้งวิชาอาคม ตบะบารมี ต้องมากจริงๆ เพราะถ้าพลาดท่าเสียทีแก่เสือสมิงแล้ว หุ่นต่างๆที่ส่งไป สู้เสือสมิงไม่ได้ หมายถึงผู้ที่ส่งหุ่นออกไปนั้นจะต้องตาย นอกจากมีตบะแก่กล้าวิชาอาคมระดับเลยขั้นเทพ ถึงจะรอดมาได้แม้หุ่นจะแพ้ เพราะวิญญาณในร่างเสือสมิงมันจัดเจนกว่า มีวิชาอาคมครบกระบวนที่เรียกว่าสูงสุด ยากที่จะหักล้างอาคมของเสือสมิงนั้นลงได้ กับหาคนต่อกร กับอมนุษย์พวกนี้ได้ยาก

ขอนำชีวประวัติ ของหลวงพ่อลุน แห่งวัดโพนแพง จ.ขอนแก่น มาเปิดเผย เฉพาะในช่วงที่พระคุณเจ้า โดยเสือสมิงรุมล้อมทำร้าย ถึง 3 ตัวในคราเดียวกัน ตรงกับการบวช พรรษาที่ 23 ของหลวงพ่อ ที่ได้อุปสมบท ได้เสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ ที่มีอภิญญา และแก่กล้าทางวิชาอาคม จึงมุ่งออกธุดงค์ไปทางภูเขาควาย ได้พบกับหลวงปู่ หวล ฐิตสีโล ผู้มีอายุ 98 พรรษา จึงกราบฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่หวล เป็นพระป่าผู้เชี่ยวชาญทางกสิณธาตุ พร้อมกับสำเร็จคาถาอาคมต่างๆ สำเร็จอภิญญา ถือธุดงค์วัตรตลอดชีวิต มีอิทธิฤทธิ์ขั้นสูง ยังเป็นผู้มีปฏิปทาที่ประหลาดคือ เวลาจำวัตร จะขึ้นไปนอนยังยอดไม้สูงๆ โดยที่เครื่องอัฐบริขารต่างๆ ไม่เคยพลัดตกลงมา ทุกๆวันพระ พอตะวันตกดิน จะเดินจงกลมบนพื้นน้ำ หลวงปู่ไม่เคยบิณฑบาต แต่จะมีญาติโยมมาใส่บาตรทุกวันไม่เคยขาด เวลานั่งสมาธิ จะนั่งติดต่อกันตลอด 3 วัน 3 คืน อาบน้ำไม่เคยอาบ แต่กายหลวงปู่ไม่เคยมีกลิ่นใดๆ  เพียงครั้งแรกที่หลวงพ่อลุน ได้พบกับหลวงปู่หวล เกิดความศรัทธาอย่างมาก กราบฝากตัวเป็นศิษย์เลยทันที  ได้อยู่ร่ำเรียนวิชาต่างๆจากหลวงปู่หวล จนสำเร็จเพียงพอแล้ว หลวงปู่หวลจึงแยกจากไปปล่อยให้หลวงพ่อลุน ได้ธุดงค์ในป่าภูเขาควายตามลำพัง เพื่อได้ฝึกกำลังของสมาธิให้เข้มแข็งต่อไป

วันหนึ่ง หลวงพ่อลุนได้เดินทางเข้าสู่เขตป่าอาถรรพ์แห่งใหม่ ภูมิเทวดาเจ้าที่ได้แสดงตนในนิมิตกรรมฐาน ของหลวงพ่อลุน เพื่อเตือนหลวงพ่อว่า “ ในป่าแห่งนี้อันตรายมาก ชุกชุมไปด้วยภูตผีปีศาจ และมีเสือสมิง 3 ตัวหากินอยู่ หากหลวงพ่อจะผ่านป่านี้ จะต้องระวังตัวทุกฝีก้าว ประมาทไม่ได้เลย ” เมื่อบอกกล่าวกับหลวงพ่อแล้ว  เทวดาเจ้าป่าก็หายไป

ใน 3 คืนแรกที่หลวงพ่อ ปักกลดอยู่ในบริเวณป่านี้ หลวงพ่อไม่ได้พบเสือสมิงทั้ง 3 เลย  พบแต่ดวงวิญญาณ ของผู้ทุกข์ยาก ที่ไม่ได้ไปเกิดมากมาย มาขอส่วนบุญ มีทั้ง เปรต ผีป่า ผีโปร่ง บางดวงวิญญาณ ขอให้หลวงพ่อปลดปล่อย จากอาถรรพ์ที่ผูกมัดอยู่ ทำให้ไปผุดไปเกิดไม่ได้  เมื่อแต่ละดวงวิญญาณต่างได้รับส่วนบุญ บ้างได้ไปผุดไปเกิดกันแล้ว ก่อนดวงวิญญาณเหลานั้นจะจาก ต่างได้บอกเตือนหลวงพ่อลุน ให้ระวังภัยจาก เสือสมิงร้าย 3 ตัว แล้วต่างจากหลวงพ่อไปด้วยอาการสงบ

ในคืนวันที่ 4  อันตรายอันน่าสะพรึงกลัว  ได้เกิดขึ้นกับหลวงพ่อลุน ในเวลา ประมาณ  02.00 น. ขณะที่ท่านจำวัตรอยู่  จู่ๆ ท่านก็ได้ยินเสียงชายผู้หวังดีผู้หนึ่ง ร้องปลุกว่า “ หลวงพ่อตื่นเร็ว  เสือมาแล้ว เสือมาแล้ว ” 3 หน เมื่อท่านตื่นขึ้นพร้อมกับสัญชาติญาณ ของพระป่าที่ถูกปลุกให้ลุกโชนขึ้นมาทันที  เพราะกลิ่นสางเสือที่ลอยมาปะทะจมูกอย่างแรง หลวงพ่อรีบเข้าสมาธิเพื่อแผ่เมตตาให้ทันที แต่เสียงเตือนจากชายคนเดิมดังขึ้นอีกว่า “ ไม่มีประโยชน์หรอก หลวงพ่อรีบท่องพระคาถาป้องกันตัวเถิด ผมคุ้มครองหลวงพ่อได้อีกไม่นาน ” สิ้นเสียงของชายผู้หวังดี ( ซึ่งอาจเป็นเทวดา ) มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “ ระวังตัว ระวังตัว เสือมาแล้ว ” เร็วเกินกว่าที่พระคุณเจ้าจะตั้งตัวได้  บังเกิดเสียงคำรามของเสือดังขึ้นภายนอกรอบๆกลดของหลวงพ่อลุน อันตรายเข้ามาถึงแล้วเมื่อเสือลายพาดกลอน ขนาดเท่าลูกม้าตัวหนึ่ง ได้กระโจนเข้าใส่กลดของหลวงพ่อแบบบ้าครั่ง แต่ทันทีที่เข้ามาใกล้ กองไฟที่หลวงพ่อก่อไว้หน้ากลด แสงไฟได้สว่างแดงวาบลุกพรึบขึ้นมาเองทันที เพราะหลวงพ่อลุน กำลังเจริญเตโชกสิณ  เตโชกสิณที่หลวงพ่อใช้กำลังสมาธิเข้ากำกับทำให้ไฟแดงลุก ลั่นเปรี๊ยะ  ๆขึ้นมาเองสุดกำลังของเตโชธาตุที่จะเป็นไปได้ ในบัดนั้น เมื่อสมาธิแก่กล้า สำหรับผู้ที่สำเร็จตามตำหรับสายสำเร็จดุลแล้ว อะไรก็จะฝ่าเปลวไฟเข้ามาไม่ได้ เพราะเป็นไฟอาคม ไม่ใช่ไฟธรรมดา  ตามธรรมดาแล้ว สัตว์ป่าทุกชนิดต้องกลัวไฟ  แต่เมื่อเสือสมิงพวกนี้ กระหายหิวเกินไป จนไม่มีอะไรจะหยุดพวกมันไว้ได้  มันแค่ชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่นานเสือลายพาดกลอนอีกตัว ได้จู่โจมเข้ามาทางด้านหลังกลดของหลวงพ่ออีกครั้ง ด้วยการกระโจนเข้ามาเต็มแรง แต่ต้องชะงักอีก เมื่อเปลวไฟที่หลวงพ่อทำไว้ลุกแดงส่งเสียงปะทุดังลั่นพร้อมแสงไฟแดงวูบวาบไปทั่วบริเวณ  มันลั่นดังสนั่นไม่ผิดไฟนรก  พร้อมทั้งสะเก็ดถ่านปลิวว่อน  มันได้หยุดการรุกรานของเสือร้ายทั้ง 2 ตัวลงได้  มันจึงได้แต่เดินไปมาอยู่รอบๆกลด คอยหาจังหวะเวลาเข้าเล่นงานหลวงพ่ออย่างไม่กลัว  ไม่มีอะไรจะทำให้มันเกรงกลัวหรือหนีกลับออกไป นัยว่ากะเอากันจนตายไปข้าง นี่คือนิสัยสันดานของเสือสมิง ถอยไม่เป็น นอกจากตายกันไปข้าง แต่ด้วยอำนาจของเตโชกสิณที่ยังลุกโชติช่วงอยู่นั้น ตราบใดที่ไฟยังลุกโชติช่วงอยู่ เสือสมิงทั้งคู่จะเข้ามาทำอะไรไม่ได้  เมื่อไหร่ที่ไฟมอดไหม้ ดับไป หมายถึง วาระเวลาของหลวงพ่อ จะต้องได้มาถึง ปีศาจร้ายในร่างเสือทั้ง 2 ต้องเข้าเล่นงานหลวงพ่อทันที ด้วยท่านรู้ถึงเหตุปัจจัยในข้อนี้ ว่าอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของเตโชกสิณ จะคุ้มครองท่านได้อีกไม่นาน ก่อนที่ไฟจะมอด ท่านจะต้องทำอะไรสักอย่าง หลวงพ่อจึงถือโอกาสขณะที่ไฟยังช่วงโชติอยู่ หยิบของวิเศษ อย่างหนึ่งของพระสงฆ์ขึ้นมา อาราธนา คือผ้ารัดอกของท่านเอง แล้วลงอักขระอย่างรวดเร็ว และชำนาญ จากนั้นนำด้าย มาผูกเป็น 5 เปาะ เป็นรูปคนขึ้น จึงเสกเข็มเย็บจีวร ด้วยพระคาถาอาวุธพระพุทธเจ้า ให้กลายเป็นอาวุธ เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว  หลวงพ่อลุน จึงใช้เวลาทั้งหมดที่มีอยู่ รวบรวมกำลังสมาธิ ทั้งหมดที่มีในตอนนี้ บริกรรมคาถาตำหรับวิชาผูกหุ่นพยนต์ ขึ้นหนึ่งตัว  จนกระทั่งเกิดนิมิตในกรรมฐาน สำเร็จเป็น นักรบหนุ่มถือดาบยาวปลายแหลม 1 ตน เมื่อสำเร็จดีแล้วหลวงพ่อลุนจึงโยนหุ่นพยนต์ตัวนี้ออกไปนอกกลดพร้อมบริกรรมคาถา สั่งว่า “ ไปช่วยขับไล่เสือสมิงให้ออกไปไกลจากกลดนี้ ” หุ่นตกลง หลังกอหญ้าทันใดก็ได้ยินเสียงตึกๆ ตักๆ คล้ายเกิดการสู้รบกันขึ้นระหว่างหุ่นพยนต์ กับเสือสมิง หลวงพ่อรีบหลับตาบริกรรมหนุนธาตุกสิณเข้าช่วยเหลือหุ่นพยนต์ของท่านทันที  ไม่นานเสียงร้องอย่างโหยหวนของเสือตัวหนึ่งดังขึ้นมาบอกถึงความทรมาน เจ็บปวดเป็นอย่างมาก แต่ก่อนที่เสียงจะเงียบหายไป หลวงพ่อลุนมีความรู้สึกว่า ถูกของหนักกระแทกเข้ากลางหลังอย่างแรง จนเลือดกำเดาของท่านทะลักออกมา มันหมายความว่า หุ่นพยนต์ของท่านที่ส่งออกไป ถูกเสือสมิงสองตัว ล้างอาถรรพ์ทำลายลงเสียแล้ว แต่ด้วยหัวใจของพระป่า…

ก็ต้องต่อตอนหน้า…