ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 147

อินสอน เป็นคำตอบทั้งหมดที่ทำให้เด็กทั้ง 4 คน คือ เจ้าฟ้า เจ้าบิ้น เจ้าผึ้ง และเจ้าปุ้ม พลัดหลงกันในป่าจนต้องขอให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ช่วยกันออกตามหา

เช้าวันที่ 23 เมื่อเด็กทุกคนมารวมตัวกันเพื่อสวดมนต์เช้า หลังจากทำกิจส่วนตัวกันเสร็จ เช้านี้อากาศเย็นจัด ทุกคนเปรยถึงน้ำค้างที่หยดลงผนังผ้าในเต็นท์  แต่ไม่สาหัสยังนอนต่อกันได้ตามปกติ เช้านี้ไฟจึงถูกสุมแรง  จากสภาพอากาศ วันนี้พวกเราต้องจำใจทานอาหาร เสบียงที่พอมีเหลืออยู่ แบบแบ่งๆ กันไป เมื่อใส่บาตรพระ วางอาหารของขบเคี้ยวให้เจ้าที่เสร็จ เราจัดประชุมเล็กๆ ว่า …. คืนวันที่ 24  อันเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะค้างแรมกัน มันตรงกับวันพระ กับดวงวิญญาณมากมายต่างรู้ว่าคืนนี้ เราจะทำการปลดปล่อยวิญญาณชาวเมือง กับวิญญาณผู้ที่ติดอยู่ในที่นี่ทั้งหมด พวกเขาต่างไปตามวิญญาณที่อื่นมา เขาไปบอกกันต่อๆกัน เขาจะพามากันมืดฟ้ามัวดิน กับเขารู้แล้วว่า เรารู้ทันพวกเขา  เราจะเลี่ยงไปปลดตอนเช้ามืดของวันที่ 25 ก่อนออกจากวัดแทน เขาก็เตรียมมารอกันไว้ล่วงหน้าเลย เรียกว่า กูปูเสื่อรอตั้งแต่เย็นวันที่ 24 เลย กูจะมั่วนิ่มไปด้วยแม้จะยังไม่ถึงวาระ  เราเปลี่ยนหัวเรื่องการประชุมเลย โดยไม่บอกว่าจะปลดปล่อยพวกเขาเมื่อไหร่ วันนี้เป็นวันที่ 23  พรุ่งนี้ตอนเย็นวันที่ 24 อันเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะค้างแรม เราจะรวมเต็นท์ เต็นท์ไหนนอนได้ 2 คนไปแจมกันเพื่อเก็บเต็นท์บางส่วนก่อน ไม่งั้นเช้าวันที่ 25 กว่าจะเก็บเต็นท์ทุกเต็นท์ครบ มันจะใช้เวลานานมาก พวกเราจะได้มีเวลาไปทานอาหาร ที่ร้านเจ ที่ตลาดสามแยกได้ทันก่อนเที่ยง กับบางกลุ่มต้องกลับเย็นนั้น ไม่งั้นกว่าจะออกจากวัดได้ เพราะมัวพับเต็นท์ 14 เต็นท์ กว่าจะเสร็จคงเที่ยง ทุกคนเห็นด้วย หงษ์ถึงกับแอบนินทาเรา ว่า “โคตรฉลาดนักวางแผน” “เอ็งพูดอะไร” “เปล่าๆๆ ครับ”

เมื่อทุกคนทานอาหารเช้าทำกิจส่วนตัวเสร็จ เจ้าเป้หมายตาไว้แล้ว ว่าพอพระอาจารย์ไม่อยู่ ไปฮ่องกง ชีหมายตาถ้ำที่อยู่เหนือกุฏิ ไว้แล้วว่าจะขึ้นไปสำรวจ แถมนัดกับแม่ชีไว้ด้วยเพราะแม่ชีเอ็งอยากขึ้นถ้ำนั้นมานานแล้ว แต่ไม่มีเพื่อนขึ้น ครั้งนี้มันเป็นโอกาสที่งาม เราเองอยากขึ้นไปด้วยเพราะไม่สูงมากเกินไป คณะเราทุกคนจึงพากันเดินตามกันเป็นพรวนขึ้นเนินเขาเบื้องหลังกุฏิ ซึ่งชันขึ้นไปเรื่อยๆ  เจ้าเป้ทำให้เราระลึกถึงตนเองสมัยยังอายุปลาย 30 แก่ๆ ที่กำลังวังชาไม่ตก กระฉับกระเฉงคล่องแคล่วไปหมด แรงไม่มีตกเลย สามารถซุกซนปีนเขาได้ทั้งวัน ทางขึ้นลำบากมาก เมื่อพบว่าทางนั้นเป็นทางตัน ทุกคนจึงพากันถอยกลับลงมา ทางขากลับชัน กับค่อนข้างลื่นมาก  หงส์ต้องจับแขนเรา เท้าเราทุกย่างก้าวกลัวเราลื่น มันเป็นภาพที่ประทับใจทุกคนมาก เราได้บอกทุกคนว่า ใครที่ยังไม่ขึ้นไปที่ถ้ำบัวตอง ไปไหว้พระธิดาบัวแก้ว บัวตอง ก็ควรจะไปซะ แต่เราคงไม่ไหวแล้วเพราะสูงมากทางชัน บันไดหลายขั้นหัวเข่าเรามันไม่ไหว ไปครั้งเดียวที่มาวันแรกพอแล้ว  จากนั้นเราบอกให้ทุกคนขึ้นไปนั่งสมาธิกันบนเนินสถูป  ให้ตรงกันเวลา 11.30น. อากาศยามนั้นยังสดชื่น ไม่มีแววจะร้อนแต่อย่างไร ตรงข้ามลมเย็นสบายอากาศเหมือนเพิ่งจะ แปดโมงเช้าเอง ทุกครั้งที่เราตั้งใจจะไปนั่งสมาธิ นิชาวัลย์จะตรงเข้ามาคว้าเก้าอี้ เบาะ ขวดน้ำจากมือเรา แย่งไปถือ …. สังเกตหงษ์เขามีความสุขมีชีวิตชีวามาก เพราะเขาสามารถนั่งสมาธิได้แล้ว ไม่มืด ไม่ติดขัด ไม่กระสับกระส่าย มันโล่ง มันสว่างอย่างอัศจรรย์ เมื่อเรากับนิชาวัลย์มาถึงก่อนใคร รีบปูเบาะลงนั่งรับลมชมวิวกันทันที ลานขอบเหวเตี้ยๆ นั้นเป็นเนินดิน ด้านหลังเป็นสถูป ซึ่งติดกับหน้าผา ด้านหน้า ฉากท้องฟ้าใสปราศจากเมฆหมอก ลมพัดเอื่อยๆ  มีนกกาบินให้ว่อนต่ำลงไปเป็นยอดต้นลำไย บ้างเป็นกอกล้วย พื้นดินที่เพิ่งโดนเกรดเป็นสีแดงตัดกับสีเขียวของยอดลำไย สูงขึ้นไปสีฟ้าสดใส ลมเย็นพัดมาสัมผัสกาย ไม่นานทุกคนทยอยกันขึ้นมา ปูพลาสติกผืนใหญ่ ที่บรรจุทุกคนได้ทั้งหมด แต่ละคนเตรียมเบาะมานั่งบนเสื่อพลาสติกอีกที ไม่นานทุกคนได้อิ่มเอิบ ดูดดื่มเอาบรรยากาศกันตรงนี้อย่างเต็มที่ ลืมทุกอย่างแม้กระทั่งคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ นั้นเป็นใคร เราอยู่ที่ไหน มันลืมทุกอย่าง แม้กระทั่งลมหายใจเข้า – ออก กำลังอินกันทุกคน เราซึ่งนั่งอยู่หลังทุกคนมองไปที่หงษ์ จับจิตเขาได้ เขากำลังสบาย จิตเขาสว่าง เขาลืมหมดทุกอย่าง กำลังอินอยู่กับธรรมชาติ “ หงษ์ ๆๆ ” เราเรียกเบาๆ เขาหันมา เราพูดว่า “ สว่างเลยนะเอ็ง ” หงษ์ไม่ตอบอะไร หันกลับไปนั่งต่อ หงษ์มาบอกเราภายหลังว่า “ ผมกำลังสว่างจริงๆ ครับ อาจานรู้ ” สัก 30 นาทีต่อมาเราเรียกทุกคนให้หันกลับมาทางเราเพื่อฟังธรรมกันต่อ ครั้งนี้ทุกคนหันหน้ากลับมาทางสถูป ลากเสื่อกลับขึ้นมาใกล้สถูปใต้ร่มไม้ เตรียมเทศน์ยาว  ขณะเทศน์ไปได้ครู่ใหญ่ เด็กปุ้มเริ่มมีอาการ เหมือนมีใครต้องการคุยกับเรา

“ วันนั้นที่พวกเจ้า 4 คน หายไป ข้านี่แหละเป็นคนเรียกมันแตกกลุ่มออกมา ข้าเป็นยักษ์ ที่อยู่ในละแวกนี้มาหลายพันปี ร่างนี้ ( เจ้าปุ้ม ) เป็นสหายของข้ากับเด็กอีก 3 คนที่หายไปด้วยกัน เราเป็นสหายกันในอดีตชาติ หลายพันปีมาแล้ว ข้าชื่ออินสร ถูกสาบอยู่ตรงหินก้อนที่พวกเจ้าไปเก็บภาพกัน 4 คนที่น้ำตก  “ อาจารย์ ตรงหินที่อาจารย์ไปยืนถ่ายรูปคู่กับหนูนั่นแหละ” ฟ้าพูดขึ้นมา

“ เจ้าเรียกเด็กพวกนี้ไปเพื่อเป็นสื่อกลับมาให้ข้าไปปลดเจ้าใช่ไหม มันถึงวาระของเจ้าแล้วหรือ ” “ ใช่ ถึงวาระของข้าแล้ว ข้าอยู่ตรงนี้มาหลายพันปี ก่อนพวกชาวเมืองพวกนั้นเสียอีก ( ชาวเมืองแค่ 500 ปี กับ 700 ปี  ) แต่ยักษ์พวกนี้หลายพันปี นานทีเดียว กับมันแสดงให้เห็นว่าในอดีตกาลมีพลพรรคยักษ์อาศัยอยู่ตามป่าทั่วๆไป ตอนไปกางเต็นท์ที่ถ้ำสีนิล ขณะแสดงธรรมตอนกลางคืน มียักษ์ 4 ตนอาศัยอยู่บริเวณถ้ำสีนิล ยังมาถามปริศนาธรรม “ แล้วเจ้าต้องการอะไร ให้ข้าช่วยอะไรได้บ้าง? ” “ ข้าจะเล่าให้ฟัง ข้าชื่ออินสร สมัยนั้นบริเวณนี้มีเมืองอยู่ 7 เมือง เป็นประชากรของยักษ์อาศัยอยู่ทั้งสิ้น แต่เป็นยักษ์ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ เรามีตำราสมุนไพร ตำรายาที่มีค่ามากทำให้ยักษ์ทุกเมืองอยากได้ตำรานี้ พากันใช้เล่ห์เพทุบายเข้าช่วงชิง และสาบข้าใช้เวทมนตร์ตรึงข้าไว้ใต้หินก้อนนั้น ข้าติดอยู่นานนับพันปี รอเวลาให้สหายมาพบ ( เจ้าปุ้มกับคณะ ) มันจึงเป็นการจงใจให้เด็ก 4 คนพลัดหลง ” “ เอ็งได้ฟังธรรมที่ข้าแสดงให้ฟังคืนก่อนๆ แล้วใช่ไหม ” “ ใช่ ” “ งั้นวันพรุ่งนี้นะ พวกเอ็งทั้งหมดมีเท่าไหร่ ” “ ทั้งหมด 7 เมือง นับไม่ได้ ” ยักษ์ตอบ เอาละรอนะพอเราเรียกให้มารับศีล 5 หมายถึง ถึงคิวพวกเจ้าที่จะไปกันแล้ว ต้องตามคิวนะเข้าใจไหม ” จากนั้นอินสรก็จากไป เอาเป็นว่าเข้าใจกันดีแล้ว

เจ้าแพม น่ารักมากทุกเช้ามืดที่เราตื่นมาเติมฟืน แพมจะหายไปโรงครัว แอบเอาน้ำร้อนมาให้เรา ส่งให้ถึงมือ ยามเช้าที่อากาศหนาวจัดน้ำค้างยังลงอยู่ น้ำร้อนอุ่นๆ จากเจ้าแพมทำเราประทับใจมาก จากนั้นเธอไปยกกระติกน้ำร้อนจากครัวของวัดมาแจกน้ำร้อนให้คณะเราอย่างถ้วนทั่ว พอสายหน่อยๆ ได้ยินเสียงแม่ชีจันทร์ ร้องดังๆ ว่า “กระติกน้ำร้อนอยู่ไหน”

เรียกเสียงฮากันได้ทั้งคณะ พอแม่ชีรู้ รีบบอก เอาไปเลย เอาไปเลย แม่เพียงแต่สงสัยมันหายไปไหน

คืนวันที่ 23 เราแสดงธรรมทุกอย่างตามปกติ พรุ่งนี้ วันที่ 24 วันพระ ทุกภพทุกภูมิต่างรอคิวเตรียมทิ้งถิ่น กับหวังกันว่า เวลาที่เราจะทำการปลดวิญญาณหากไม่ คืนวันที่ 24 อันเป็นวันพระ ก็ต้องเป็นเช้ามืดของวันที่ 25 อย่างแน่นอน คือให้ผ่านวันพระไปก่อน คือปลดตอน ตีสี่ของเช้าวันที่ 25 ให้ทุกดวงวิญญาณ กลับคืนสู่นรกภูมิกันก่อน เพราะคืนวันพระ นรกทุกภพทุกภูมิต่างเปิด ปลดปล่อยวิญญาณทั้งหมดออกมาชั่วคราว ทุกดวงต่างมีเป้าหมายอยู่ที่วัดถ้ำบัวตอง มันจะอันตรายเกินไปสำหรับเรากับศิษย์ของเรา  ไม่มีใครรู้ว่าเราคิดอย่างไร แม้จะรอให้นรกปิดเรียกพวกวิญญาณกลับหลุมนรกตามเดิมแล้วก็ตาม แต่วิญญาณพเนจรแถวอื่นๆ นอกเขตวัดถ้ำบัวตองก็จะพากันเข้ามาแจมจนวุ่นวายกันไปหมด บางดวงไม่ได้มาฟังธรรมทุกวัน รอวันปลดปล่อยก็เข้ามามั่ว เข้ามาแจมสร้างความวุ่นวายปวดหัวให้กับท่านยมบาล พวกวิญญาณบาปบัวใต้ตมมันมีปนอยู่  เดี๋ยวเราจะจัดการพวกนี้เอง ผีหลอกคนมาก็มากแล้วครั้งนี้คนจะหลอกผีมั่งคอยดู  ด้วยเช่นนี้เบื้องบนทุกพระองค์จึงลงความเห็นกันว่า เราเป็นผู้ที่เลิศด้วยปัญญา เทียบเท่ากับพระสารีบุตรเลย  มาดูกันเราจะทำอย่างไร

ตามตอนต่อไป

พลิกตำนาน …ของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ฉบับสมบูรณ์ และหนังสือจากศูนย์สู่ดับสูญ รวบรวมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หนังสือชุดนี้จัดพิมพ์เป็นที่เรียบร้อย ( ส่งต่างประเทศในช่วงสถานการณ์ของโรคระบาดไวรัสโคโรนา เราจะจัดส่งให้ทางเรือ ) หากท่านใดสนใจ

ธรรมมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ทุกชาติทุกศาสนาที่นำมาศึกษาปฏิบัติ ต่างพบกับสัจธรรมของชีวิตอย่างชัดเจน เพราะพระองค์ไม่เคยเน้นว่า ธรรมะเป็นของพระองค์ หรือของพระพุทธศาสนา แต่เป็นของมวลมนุษย์ชาติที่มองหา ความสุข สงบ ทางใจ นำไปใช้ได้ทุกคน

หนังสือจากศูนย์สู่ดับสูญ รวบรวมคำสอนขององค์พระพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มรดกของชาว พุทธแท้ พุทธะ ของท่านพุทโธ