ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 14
- พฤศจิกายน 14, 2016
- ตอน เสียงจากใจ ของนางนิศา มหาเทวี

ปู่ภุชงค์ พูดทิ้งท้ายไว้ว่า ให้นางมาคุยกับเจ้าเอง ทันทีที่ปู่กล่าวจบ ร่างของเจ้าหนิงขยับลงจากเก้าอี้มานั่งที่พื้นต่ำกว่าเรา ข้างเจ้าปลา ก้มลงกราบเราที่พื้นแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างรันทดสุดเวทนา เป็นเสียงสาววัยรุ่นอายุ 20 ปี กว่าๆ เชื่อเถอะเธอไม่พลาดนาทีทองของเธอเลยที่จะได้เข้าเฝ้าแทบเท้าจานวา เนื่องจากอดีตชาติเราเคยเป็นกษัตริย์นาคกับนาค 9 เศียรด้วย อยู่พิภพใต้บาดาลมานานนับหมื่นปี เพราะเธอขอเยอะมาก แต่ขออย่างเกรงใจ ซึ่งเรายอมให้อยู่แล้วเพราะรู้ว่าเธอติดอยู่นับพันปี พอมีโอกาส ใครเล่าจะพลาดได้ “ช่วยหนูด้วยนะเจ้าคะ” “หนูอยู่ที่ไหนละจ๊ะ” “หนูติดอยู่ตรงนั้น” หนูแค่ติดอยู่นิดเดียวด้วยญาณบารมีที่มีอยู่แค่ครึ่งเดียว “เรารับปาก หนูอยู่ที่คำชะโนดใช่ไหม พรุ่งนี้เราจะไปคำชะโนดกัน” “ใช่เจ้าค่ะ มีแต่มนุษย์ผู้ที่มีบุญบารมีเท่านั้นจึงจะช่วยหนูได้” “ได้ แต่เราขอได้ไหมพรุ่งนี้พอถึงคำชะโนดขอให้หนูนำเราไปตรงที่หนูติดอยู่ รับปากเรานะ แล้วเราจะช่วย” “หนูรับปากเจ้าค่ะ ทำไมเหตุการณ์มันล่าช้า” “ไม่ล่าช้าเราอยู่ตรงนี้แล้วเดี๋ยวเราจะช่วย แล้วต้องใช้อะไรมั่ง กล้วย ส้ม น้ำ” “ไม่ต้องการอะไรเลย หนูแค่ขอให้อาจารย์ทำอย่างวันนี้ แค่บารมี หนูขอแค่บารมีของอาจารย์ ที่อาจารย์กับลูกศิษย์อาจารย์ทำกันวันนี้ เท่านั้นล่ะค่ะ” “อ๋อ …ที่กรวดน้ำกับลูกศิษย์ จับมือกันใช่ไหม แล้วเอ่ยชื่อหนู” “ใช่ค่ะหนูขอแค่นั้น” “เราจะให้ได้มากกว่านั้นอีก เดี๋ยวเราจะเปิดคลาสที่เชียงใหม่อีก 7 วัน เรากับนักเรียนทุกคนจะอุทิศส่วนกุศลให้หนูกับปู่ทรงธรรม เอาไหม ?” “หนูไม่บังอาจเจ้าค่ะ” เธอพูดคละเสียงสะอื้นด้วยความตื้อตันใจ หนูทำผิดกับท่าน ( ปู่ภุชงค์ ) แค่ท่านให้อภัยหนู หนูก็ดีใจมากแล้ว” “อย่าร้องไห้ ใครๆ ก็ทำผิด เราก็เคยทำผิด ทุกคนทำผิดกันทั้งนั้น หนูไปผิดศีลข้อ 3 กับท่านใช่ไหม ?” “ใช่เจ้าค่ะ” เมื่อเรารู้ตัวว่าทำผิด เราก็ทำใหม่ให้ถูกต้อง ออกจากนี้ไปหนูรักษาศีล 5 นะ เดี๋ยวเราจะอาราธนาศีล 5 ให้” “เจ้าค่ะ ที่จริง ปู่ภุชงค์ก็ช่วยหนูได้ แต่ท่านได้ให้สัจจะวาจาไว้แล้ว” เธอพูดแล้วหยุดแค่นั้น เราพูดต่อเองอย่างรู้วาระจิต “ว่าจะไม่ช่วยเธอใช่ไหม?” “ใช่เจ้าค่ะ” “ก็นี่ไง ท่านมาขอร้องให้เรามาช่วยหนูแทน” “หนูถูกบ่วงบรรจถรณ์” “เราเท่านั้นที่จะปลดบ่วงนั้นได้ใช่ไหม ?” “ใช่เจ้าค่ะ” แล้วหนูชื่อ นิศา มหาเทวี ใช่ไหม” “ใช่เจ้าค่ะ” “หนูเป็นสนมลำดับที่ 173 ของท่าน” “เดี๋ยวออกไปเราทำสังฆทานให้เอาไหม” “หนูไม่ต้องการเจ้าค่ะ หนูแค่ต้องการบารมีจากอาจารย์ แล้วถ้าหนูหลุดจากภพภูมินี้ได้ หนูจะไปกราบอาจารย์นะคะ” “ไม่ต้องห่วงตรงนั้นนะ” เราให้กำลังใจเธอต่อ “แล้วพอหนูหลุดไปได้ หนูขอไปอยู่ที่นาคเขาไปอยู่กันได้ไหมเจ้าคะ ?” “ที่ไหนล่ะ” “หนูขอไปอยู่กับอาจารย์ที่บ้านบุญรักษาได้ไหมเจ้าคะ” “ทำไมล่ะ เป็นที่ตัวบ้านหรืออะไร นาคถึงแห่พากันไปปฏิบัติธรรมที่บ้านเรา” “ไม่ใช่เจ้าคะ เพราะท่านอาจารย์เจ้าค่ะ” ได้เราอนุญาต “อนุญาตหนูแล้วจริงๆ นะเจ้าคะ” “ไปเลยด้วยความยินดี นี่ปู่ทรงธรรมท่านไปอยู่กับเราเลยใช่ไหม” “ใช่เจ้าคะ …หนูขออีกอย่างได้ไหมเจ้าคะ” “ขออะไรลูก” หนูขอลูกแก้วที่เป็นของหนูจะสีอะไรก็ได้ให้อาจารย์เลือกให้” “ได้เดี๋ยวจัดให้ หนูจะอยู่กับเรานานเท่านานเท่าไหนก็ได้นะ” “ไม่ได้เจ้าคะ ถึงหนูอยากจะอยู่กับอาจารย์มากแค่ไหน หนูอยู่ไม่ได้เจ้าคะ เพราะปีหน้าจะมีลูกศิษย์อาจารย์คนหนึ่งที่เขามีบุญและกรรมสัมพันธ์กับหนูเข้ามา หนูต้องไปอยู่กับเขา” “เฮ้อ!!! เอาตามนั้นก็ได้ ถึงเวลาแล้วมาบอกเราก็แล้วกันเราจะจัดหาศิษย์คนนั้นให้” “ศิษย์คนนั้นจะต้องไม่ละเลยเอ่ยชื่อหนูขณะปฏิบัติธรรมนะเจ้าคะ” “เอาละเดี๋ยวเราจัดให้เรารับปากวันพรุ่งนี้ที่คำชะโนด อย่าลืมนะ โอกาสเดียวโอกาสสุดท้ายนำเราไปเลย พอเท้าเราแตะคำชะโนด อย่าลืมนะ” “เจ้าค่ะหนูรับปาก” เธอก้มลงกราบกับพื้น เจ้าปาริชาติ เจ้านาถลดา เจ้าปุ๊ เจ้าอ้อม เป็นพยานหูพยานตา

เช้าวันที่ 17 ตุลาคม ทุกคนมารวมตัวกันทานอาหารเช้า เก็บรูปร่วมกันจากนั้น เรามุ่งหน้าตรงเข้าคำชะโนด อุดรธานี เป็นเป้าหมายสุดท้าย ที่จริงเราอยากไปกราบปู่ศรีสุทโธ ตั้งแต่ตอนไปฮิวตันเมื่อปีที่แล้ว เพราะเอ่ยนามท่าน ที่วัดของหลวงพ่อใหญ่ ปู่ตอบรับด้วยการเกิดลมพัดอู้ใบไม้ปลิวว่อน เป็นอัศจรรย์ ทั้งๆ ที่ไม่มีวี่แววว่าจะมีลมได้เลย จึงรู้ว่าปู่รับรู้ เราเลยบอกกับตนเองว่า จะหาโอกาสไปสักการะปู่สักหนในชีวิต แต่จะมาทั้งที หอบผีบ้าพวกนี้มาด้วยท่าจะดี พวกเขาไม่เคยมุดถ้ำ ไม่เคยมาคำชะโนด ไม่เคยดูบั้งไฟ ด้วยเหตุนี้ ทริปนี้เจ้าตูนจะพลาดไม่ได้ตะกาย มาจากสวิตเซอแลนด์เลย แล้วเธอก็ทำสำเร็จ
พอถึงคำชะโนด อากาศช่วงแรกฝนตก แต่พอเข้าบริเวณวัดอากาศเย็นสบาย ผู้คนแหนแห่กันมาจากทั่วสารทิศ มันช่วงเทศกาลหยุดยาว
เบียดเสียดกัน พวกเราตรงเข้าห้องน้ำกันก่อน พอจะข้ามสะพานสู่ตัววัดทุกคนต้องถอดรองเท้า ถอดหมวก แว่นตา บนเกาะนี้ ต้นไม้แต่ละต้น หาที่อื่นไม่ได้ มืดครึ้ม สูงเทียมฟ้า ใช่ เพราะมันเป็นที่อยู่ของนาค
ทันทีที่ข้ามสะพาน พวกเราต่างนำสิ่งของอาหาร ไปสักการะวางให้ปู่ รวมผลหมากรากไม้ เงินทำบุญ เพราะคนเยอะลูกศิษย์เราเข้าไม่ถึง ต่างส่งของมาที่เราให้เราเป็นตัวแทนคณะวางของมอบให้ปู่ มันโชคดีจริงๆ ที่มีช่องให้เรากับเจ้าหนิงแทรกเข้ามาได้ หนิงกับเราประกบกันเพื่อตามหานางนิศามหาเทวี ตั้งแต่ข้ามสะพานมา แล้วหนิงบ่นว่า ใจหนูหวิวๆ ส่วนเราบริเวณหน้าอกเหมือนกระแสไฟอ่อนๆ วิ่งผ่าน ในชีวิตเราไม่เคยมีอาการเช่นนี้มาก่อน จึงรู้ว่าหนูนิศามหาเทวี เริ่มนำทางแล้วคือกระแสนั้นแรงขึ้น เมื่อเท้าย่างใกล้เข้าบริเวณบ่อน้ำ จนหัวใจเต้นระทึกพร้อมๆกับพลัง หรือกระแสอะไรบางอย่างที่นางนิศามหาเทวีส่งมา เราเดินไปบริเวณบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ของคำชะโนด อ้อมบ่อไปอีกข้างหนึ่งอาการนี้ยิ่งหนักขึ้น ไปพบหนิงที่อ้อมบ่อไปอีกข้างยืนรออยู่แล้ว เราทั้งคู่มองตากันแล้วบอกว่านี่ไงเธออยู่ตรงนี้ หนิงเอามือจิ้มไปที่หินก้อนหนึ่งข้างบ่อน้ำ ในอดีตหินก้อนนี้ใหญ่มาก แต่กว่า 2,000 ปี ดินทับถมกันเหลือส่วนหินโผล่มาเท่ากำปั้น ศิษย์เราทุกคน ทำตามคำขอที่หนูนิศามหาเทวีต้องการ คือรวมพลังจิตกันกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลเอ่ยชื่อเธอ อย่างพร้อมเพรียงท่ามกลางฝูงชนที่ไม่รู้ใครเป็นใครมาจากไหน ต่างคนต่างไม่สนใจอะไรกัน และแล้วเวลาที่เธอรอคอยมากว่า 2,000 ปีก็มาถึง ที่เธอเคยกล่าวกับเราว่า “มนุษย์ผู้ที่มีบุญบารมีจริงๆ เท่านั้นจึงจะปลดหนูออกจากบ่วงบรรจถรณ์นี้ได้” มนุษย์ผู้มีบุญบารมี ในที่นี้มีอยู่ ไม่กี่คน ที่เข้าตาเทพไท้เทวา นาคา เทวดาพรหมอินทร์ คือผู้ที่ถูกกำหนดลงมาให้ช่วยเวไนยสัตว์ หรือผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพระพุทธภูมิ ไม่ใช่พระโสดา ไม่ใช่พระเสขะ เมื่อปีที่แล้ว พระโพธิสัตว์กวนอิม ได้สนทนากับเราบอกเราว่า “เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือว่าเจ้า ปรารถนาพุทธภูมิ เจ้าจะต้องไปเกิดอีกหลายชาติ” พอเรารู้เราตกใจสุดชีวิต ท่านคงจับได้ ถามมาว่า “เจ้าจะถอนไหม จะถอนไหม” “ถอนๆๆ พระคุณเจ้าถอนให้ลูกที” “ท่านจัดการถอนให้เลย แล้วบอกอีกว่า “ข้าจะประทานเลนส์สายตาคู่ใหม่ให้เจ้า เพราะเจ้าจะได้ช่วยทะนุบำรุงพุทธศาสนาให้สืบไปอีกหลายชั่วรุ่นคน” นี่คือคำพยากรณ์ และความเมตตาจากพระโพธิสัตว์ที่มีให้เราตั้งแต่ปี 2014 เกือบ 4 ปีมาแล้ว
หนูนิศามหาเทวี เธอพอจะรู้ว่าใครเป็นใคร ใครที่จะช่วยเธอได้ รวมถึงท่านพยายมราช ก็คงไม่ซี้ซั้วขอความช่วยเหลือจากตาสีตาสา ธรรมดาทั่วๆ ไป นอกเสียจากว่า คนๆ นั้น ต้องผิดธรรมดาจริงๆ คงวาดภาพพจน์กันได้ถูก

สถานที่ท่องเที่ยวที่คนแทบจะเหยียบกันตาย แต่จะสาเหตุใดก็ตามช่วงที่ เรานำคณะศิษย์กรวดน้ำลงดินเพื่อปลดปล่อยวิญญาณของนางนิศามหาเทวี ขณะที่เราอธิษฐานจิต พร้อมกับศิษย์ที่ร่วมด้วยช่วยกันนั้น เกิดเสียงระฆังของวัดดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และเสียงสุนัขหอนยาวโหยหวนอยู่ชั่วอึดใจทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพเดิม ศิษย์เราคนหนึ่งเป็นผู้ทักขึ้นมาว่า “จานประหลาดมาก ช่วงที่จานปลดวิญญาณเธอเสียงระฆังวัดดังพอดี” พุทธศาสนาไม่มีคำว่าบังเอิญ 2,000 พันกว่าปีที่เธอรอมา เธอแจ้งเกิดแล้ว และจะติดตัวเราไปทุกหนทุกแห่งจนกลับมาเสวยสุขอยู่ที่บ้านบุญรักษา กับนาคตนอื่นๆ กับปู่ทรงธรรม ปู่ภุชงค์ ท่านได้แบ่งภาคมาอยู่บ้านบุญรักษาเช่นกัน ที่บ้านบุญรักษา ยังมี ย่านฏิมล 9 เศียร คือลูก 9 สี ที่ได้มาจากปู่อินทร์ตาทิพย์ ปู่พญานาคราช จักรพรรดิ 7 เศียร และย่าสร้อยสุดา นาคินี 7 เศียร และหนูชมพูนุชจรี 5 เศียร กับชุดองค์พญานพเก้า 9 เศียร อีกหนึ่งชุด ทุกคืนพอแม่กับคนเลี้ยงแม่ปิดทีวี นอน หากเราอยู่บ้านไม่ออกต่างประเทศ เราจะนำพวกเขาปฏิบัติธรรมกันทุกคืน นาคทั้งมวลจึงแหนแห่กันมาเต็มนอกบ้าน ในบ้านไปหมด หนูนิศามหาเทวี จึงได้รับอิสรภาพ มีความสุขเอวังลงด้วยประการฉะนี้ กาลเวลาผ่านไป จะเข้าปีที่ 4 แล้ว ไม่มีวี่แววว่าหนูนิศา จะไปอยู่ที่ไหนกับใคร แถมมีเป้าหมายที่จะไปอยู่สถานปฏิบัติธรรมที่เรากำลังจะสร้างด้วยซ้ำ เวลาเราไปต่างประเทศ เราจะเรียกเธอไปด้วย นานๆ ทีก็จะเอ่ยชื่อเธอขณะปฏิบัติธรรม พร้อมปู่ทรงธรรม มันทำให้ภูมิจิตภูมิธรรมของนาคทั้ง 2 ท่านยกระดับสูงขึ้นๆ จนพวกเขาไม่อยากจะไปอยู่ที่ไหน ตกดึกมาทุกคืน นาคชั้นผู้ใหญ่ หลวงปู่หลวงตา จะลงมาสนทนาธรรมกันที่บ้านบุญรักษา พวกเขาก็ได้บุญกันถ้วนทั่ว