ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 61
- กันยายน 22, 2018
- ตอน น้ำพุร้อนที่ดอยสะเก็ด

คำว่า ดอยสะเก็ด ที่จริงแล้ว มาจากคำว่า ดอยเส้นเกศา จากกาลเวลาที่ผ่านมานับพันปี ชาวบ้านเรียกกันจนเพี้ยนไป จากดอยเส้นเกศา มาเป็นดอยสะเก็ด มีที่มาอยู่ว่า ในสมัยพระพุทธกาล พระตถาคตได้เสด็จมายืนอยู่บนยอดดอย หันพระพักตร์ไปโดยรอบ ทรงรู้ได้ด้วยญาณแห่งการหยั่งรู้ว่าต่อไปในอนาคตสถานที่ที่พระองค์ทรงประทับยืนอยู่นี้จะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้คนเคารพกราบไหว้ ขณะนั้นมีนาคผัว-เมียคู่หนึ่ง อยู่ที่บริเวณป่าดิบเชิงดอย แลเห็นแสงสรรพพรรณรังสี สว่างไสวอยู่ยอดดอย จึงรู้ได้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับยืนอยู่ยอดดอย เพื่อรอโปรดสัตว์ นาคสองตนจึงแปลงกายเป็นมานพหนุ่ม-สาว พร้อมเครื่องอาหารเข้าประเคน ซึ่งเวลานั้นพระอาทิตย์โผล่แสงแรกของรุ่งอรุณขึ้นมาพอดี เมื่อพระองค์เสวยเสร็จจึงได้มอบพระเกศาให้มานพหนุ่ม-สาวคู่นั้น
นาคทั้งคู่ได้ระดมพลพรรคนาคทั้งมวล ช่วยกันสร้างพระสถูปเจดีย์ขนาดเล็กๆบรรจุพระเกศาไว้บริเวณยอดดอยไว้กราบไหว้ กาลเวลาผ่านมาพระสถูปเจดีย์นี้ถูกปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์ ต้นไม้นานาพันธุ์ ตราบจนเข้ามาถึงยุคปัจจุบัน พรานป่าไปล่าสัตว์ ไปพบเข้า …. จึงกลับมา แล้วพาชาวบ้านช่วยกันถากถางพงป่า บุกเบิกพัฒนา สร้างเจดีย์ใหม่ทับขึ้นมา ท้ายสุด ได้กลายเป็นวัดพระธาตุ ดอยสะเกตมาจนทุกวันนี้ อยู่บนเส้นทางไปเชียงใหม่ – เชียงราย จากซุปเปอร์ไฮเวย์ – เส้นหลักของเชียงใหม่ ประมาณ 40 กิโล

น้ำพุแห่งนี้ ในอดีต 7 – 8 ปี มาแล้ว เป็นบรรยากาศที่ยังคงความเป็นธรรมชาติ ที่สุด อยู่กลางทุ่งนาเขียวขจี ไกลออกไปเป็นเทือกเขา ชาวบ้านปลูกทั้งข้าวเหนียว ข้าวเจ้า ในแปลงนา มีวัวควาย ซึ่งถูกชาวบ้านปล่อยออกหากินอย่างอิสระ บ้างก็มีม้า ลา ให้เห็น ไม่มีสี แสง เสียง แห่งความศรีวิไลใดๆให้เห็นให้เป็นที่รำคาญใจแต่อย่างใด เสียงแห่งธรรมชาติเพียงอย่างเดียวที่มีให้ได้ยินคือเสียงนก เสียงกาเพียงเท่านั้น ทุ่งข้าวสีเขียวพรืดเปรียบเสมือนผ้ากำมะหยี่ขนาดใหญ่ที่ถูกปูลงไปเบื้องหน้า ดูแล้วมันสบายตาเหลือจะกล่าว นานๆทีสีขาวของนกกระยางเป็นกลุ่มๆ ถูกปาดป้ายลงบนพื้นสีเขียวสดของใบหญ้าในนาข้าวดูสบายตาเหลือจะกล่าว นกกระยางบางตัวย่างก้าวอย่างช้าๆ ไปตามนาข้าวเพื่อสอดส่องหาปูหาปลา มันเป็นภาพที่หาดูได้ยาก

ในปีแรกๆ ที่เรามาอยู่เชียงใหม่ ได้ไปอาบน้ำพุร้อนที่แม่ออน สันกำแพง ซึ่งมันอยู่ไกลมาก สมัยนั้น คือเกือบ 10 ปีมาแล้ว น้ำพุร้อนที่แม่ออนยังไม่พลุกพล่านเหมือนปัจจุบัน บรรยากาศยังเป็นลูกทุ่ง บ้านนอกอยู่มาก ไม่มีร้านรวง ร้านกิ๊ปช๊อป เป็นสาธารณะ ใครจะเข้าไปเล่นก็ได้ จ่ายตั๋วตามแต่ต้องการ มีเป็นแบบส่วนตัว ส่วนรวม มีห้องให้ค้างแรม ในห้องมีน้ำพุร้อนให้อาบเป็นการส่วนตัว ระหว่างคู่หนุ่มสาว แต่รถทุกคันที่จะผ่าน เข้าประตู จะเสียบัตรผ่านประตู ความประทับใจใดๆ ที่เคยมี มลายหายไปหมด จากนั้นผ่านมาได้ สัก 3 ปี เราได้ทราบว่า ที่ดอยสะเกตมีน้ำพุร้อนไว้บริการอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งใกล้กว่า หลังจากไปสำรวจได้หนเดียวเป็นที่ถูกใจเรามาก หลังจากซื้อบ้านบุญรักษาแล้ว พอว่างจากงานเรามักไปแช่น้ำแร่ ที่ดอยสะเก็ด แทบจะทุกเดือนบางเดือนไปแทบทุกอาทิตย์ เพราะบรรยากาศเป็นแบบลูกทุ่ง ไม่มีร้านค้าพานิช มันอยู่กลางทุ่งนาโดยตรง ไม่ต้องเสียบัตรผ่านเข้าประตู ร้านรวงอะไรไม่ครึกครื้น วุ่นวาย เหมือนที่สันกำแพง เพราะความที่ไปบ่อย จึงสนิทมักคุ้นกับคนพื้นที่ ทุกทีที่เราไปแช่น้ำแร่ เราจะให้ทิปคนดูแลห้องตลอด จึงได้ที่มาที่ไปของน้ำพุร้อนว่า ก่อนจะค้นพบน้ำพุร้อนนี้ขึ้นมา พวกเด็กเลี้ยงวัว พากันไปซุกซนตามลำธารน้ำ ตามเกาะแก่ง บ่อบึง ในบริเวณนั้น เด็กเลี้ยงวัวคนหนึ่งเห็นบ่อน้ำซึ่งไม่กว้างมากนัก ประมาณเท่าปลักควายนอนแช่ เมื่อเห็นว่ามันไม่ลึกมากนัก เท่านั้นเพียงพอแล้วที่จะตัดสินใจกระโดดลงบ่อ แต่เด็กต้องส่งเสียงร้องออกมาได้ครั้งเดียว แล้วขาดใจตายทันที ตัวบวมอืดขึ้นเหมือนเนื้อหมูถูกน้ำร้อนลวก เมื่อตายไปแล้วเด็กไม่ยอมไปไหน จนเขาต้องตั้งศาลเพียงตาให้บริเวณบ่อนั้น
จากนั้นชาวบ้านแถวนั้นต่างช่วยกันพัฒนาสถานที่ เพื่อให้คนที่เจ็บไข้ได้ป่วยมาใช้บำบัดรักษา ขณะเดียวกัน ก็นำรายได้มาให้ชาวบ้านบริเวณนั้นได้เกิดอาชีพ และยังมีหมอนวดมาประจำ ซึ่งก็เป็นพวกชาวบ้านที่ไปหัดเรียนวิชาบีบนวดกันมาจากในเมือง แล้วนำวิชาความรู้นั้นกลับมาใช้หากินบริเวณถิ่นกำเนิดโดยการจัดคิวสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอย่างมีระเบียบ มาเป็นเวลานานแล้ว จวบจนกระทั่ง เกิดเรื่องขึ้นเมื่อมีนักการเมืองกลุ่มหนึ่ง ที่มากว้านซื้อที่แล้วสร้างบ้านบริเวณนี้ เกิดความเห็นแก่ตัวอย่างมากมีความคิดที่จะต่อท่อน้ำพุร้อนนี้ ตรงเข้าบ้าน แต่ถูกชาวบ้านบริเวณนี้ที่ถือว่าบ่อน้ำพุร้อนศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นกระดูกสันหลังในการทำมาหากินของพวกเขา ต่างพากันรวมกลุ่มคัดค้านกันสุดเหวี่ยง จะด้วยเหตุผลมนต์บทไหนก็ตาม นักการเมืองกลุ่มนั้นได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่ได้มีข้อตกลงกันอยู่ว่า ถ้าน้ำพุร้อนเกิดหายไป หรือเหือดแห้งหายไป กลุ่มนักการเมืองกลุ่มนี้ต้องคืน น้ำพุร้อนนี้แก่ชาวบ้าน …มันเป็นข้อตกลง
จากนั้นไม่นาน เกิดเหตุการณ์ประหลาดตามมาคือ ไม่ปรากฏน้ำพุร้อนให้เห็นที่บ่อของสาธารณะชนอีก ชาวบ้านที่เคยทำมาหากินได้รายได้เล็กๆ น้อยๆ จากนักท่องเที่ยว ต่างพากันอดอยากปากแห้ง ท้ายที่สุดนักการเมืองกลุ่มนั้น จำต้องคืนน้ำพุร้อน ในอ่างอาบน้ำที่บ้านของตนแก่ชาวบ้านไป
ใช้วิจารณญาณกันเอา กับเชื่อกันว่า แร่กำมะถันที่น้ำพุร้อนแห่งนี้ แรงมาก แรงกว่าทุกแห่ง อันนี้พอจะมีพยานมาอ้างอิงคำกล่าวนี้ได้เพราะเกิดขึ้นกับคุณแม่ ของเราเอง ก่อนที่ท่านจะล่วงลับดับขันธ์ไปนั้น เราได้พาคุณแม่มารักษาตัวที่น้ำพุร้อนแห่งนี้ คุณแม่ เป็นเริม ที่ช่องปัสสาวะ เวลาหน้าร้อน คุณแม่มีความทุกข์ทรมานมาก ต้องใช้ ทิงเจอร์ใส่สำลีชุบ เป็นที่เวทนา อากาศที่ฮิวสตัน เท็กซัส ในหน้าร้อน มันร้อนสุดโหด คุณแม่จึงพบกับความทุกข์ทรมานทุกๆหน้าร้อน สุดที่เราจะทนได้ จึงหาทางพาคุณแม่มาอาบน้ำพุร้อนที่ดอยสะเก็ด โดยคิดว่าจะต้องให้คุณแม่อาบให้ได้ อย่างต่ำ 3 หน ด้วยความพยายามจึงหลอกล่อให้คุณแม่ไปอาบได้ถึง 5 หน เสร็จแล้วจึงปล่อยให้คุณแม่กลับบ้านที่ฮิวสตัน จากนั้นมา ไม่เคยได้ยินคุณแม่บ่นเรื่องเริม อีกเลย เริมเป็นอาการของมะเร็งชนิดหนึ่ง สะเก็ดเงิน งูสวัด เริม และมะเร็ง เกิดจากเชื้อโรคตัวเดียวกัน

น้ำแร่จากน้ำพุร้อน ยังช่วยรักษา อาการปวดหลัง ปวดเข่าเรื้อรัง โรคผิวหนังทุกชนิด อาการปวดเมื่อยเรื้อรัง เพราะเต็มไปด้วยแร่กำมะถัน หลายๆครั้งที่เราไปแช่น้ำแร่ จะเห็นพระหลายรูปมาใช้บริการ สมัยก่อนจะมีห้องแช่สำหรับพระโดยเฉพาะ 4 ห้อง แต่ในปี 2017 เขามีการปิดระยะยาวเพื่อปรับปรุง เมื่อเปิดบริการใหม่ ห้องแช่ที่เคยมีไว้สำหรับพระสงฆ์ ได้หายไปแล้ว ในปัจจุบันนี้ ได้มีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการน้ำแร่แห่งนี้มากขึ้น เพียงแต่ชุมชนแห่งนี้ จะทำอย่างมีระเบียบ มีขีดจำกัด ไม่พลุกพล่านจนเกินไป อย่างไรก็ตาม เรายังโชคดีตรงจุดที่จะรู้ วันเวลาที่ไม่มีคนแออัดจนเกินไปนัก ทุกครั้งที่ไปจะมีห้องว่างให้เราเสมอไม่ต้องรอ หรือถ้ารอ ก็ประมาณ 15 นาที บ่อยครั้งที่ไปกับเลขานิชาวัลย์ เธอได้ตกหลุมรักกับบรรยากาศของชุมชนนี้ ตั้งแต่ครั้งแรก
นับจากนั้นมาชาวบ้านดอยสะเก็ด ต่างก็มีความสุขทำมาหากิน เซ่นไหว้ศาลเพียงตาของเด็กชายน้อยมาตราบจนทุกวันนี้