ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 125
- ตุลาคม 17, 2019
- ตอน เจ้ากรรมนายเวร 2

เรื่องเจ้ากรรมนายเวรนี้ละเอียดซับซ้อนไม่มีใครกล้าพูดได้อย่างชัดเจน แต่ที่เรากล้าพูดทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นพระเป็นชี แต่เพราะเราได้ปลดปล่อยวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรของลูกศิษย์มาแล้วนับไม่ถ้วน รู้ความเจ้าเล่ห์เพทุบาย เข้าใจความรู้สึกความอาฆาตแค้น ได้คุยกับพวกเขามานับไม่ถ้วน จำนวนไม่น้อย เป็นวัว เป็นควาย เป็นหมา เป็นงู เป็น นาค เป็นพระ เป็นฤษี เยอะจนเราตาค้าง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่เราเจอมาของจริงทั้งนั้น จากดวงจิตที่ผูกใจเจ็บอาฆาต ที่มากที่สุดคือทหารพม่านักรบ ไปฆ่ากันตายในสนามรบ ฆ่ากันโดยไม่เคยโกรธแค้นกันมาก่อน ทำตามหน้าที่ป้องกันชาติบ้านเมือง ทำตามคำสั่ง ผล พอตายไปวิญญาณติดอยู่ตรงนั้น จำอะไรไม่ได้นอกจากคนที่ฆ่าเขาตาย วิญญาณที่เป็นสัตว์เมื่อเขาอยากไปเกิด เพราะได้ฟังธรรมที่เราแสดง เขาเริ่มเย็นลง คลายความอาฆาต เวลาเขาจะพูดคำว่า “ อโหสิกรรม ” เขาจะพูดไม่ค่อยชัด เพราะในชาตินั้นๆ ที่ไปฆ่ากันมาเขาเป็นสัตว์ จึงพูดได้อย่างยากเย็น กว่าจะหลุดคำว่า อโหสิกรรมออกมาได้ลำบากมาก แต่พอเขาพูด ศิษย์เราทุกคนในชั้นเรียนจะเปล่ง วาจา อนุโมทนาออกมา พร้อมกับเราจะสมาทานศีล 5 ให้เขา เขาจะหลุดจากตรงนั้นขึ้นสู่ภพภูมิที่ดี ด้วยอานิสงส์ของ อภัยทาน
เรื่องการชดใช้กรรม เรื่องเจ้ากรรมนายเวรที่แอบแฝงอยู่ในจิตของเราเองนั้น พร้อมกับรอจังหวะเวลา ภพ ชาติ ที่จะมาถึงเข้าชำระหนี้บุญหนี้กรรมกันนั้น แม้ว่าเราจะลืมการกระทำนั้นไปแล้วก็ตาม การบันทึกข้อมูลของจิตไม่ลืม ไม่ขาดหาย ไม่ถูกลบ แต่จะรอคอยจังหวะเวลาเพื่อปลดหนี้เวรหนี้กรรมกันไปทีละตัวทีละราย ความที่แค้นมากของเจ้ากรรมนายเวรบางราย เขาจะเกาะติดอยู่กับตัวเลย ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ บ้างเอาให้ตายไปเลย พอมาเกิดใหม่เกาะติดตัวทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บอีกทุกชาติทุกภพบ้าง ไม่ทำให้ตาย ทำให้ทรมาน เจ็บหลัง ไหล่ เข่า แขน เอาแบบกรรมเลี้ยงไม่ทำให้มันตายแต่ทำให้มันทุกข์ทรมานให้สะใจ ตัวอย่างเรื่องที่จะเล่าจากอดีตกาล สมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองเลยมีให้เห็น จะเล่าให้ฟัง …. เรื่องนี้เกิดก่อนสมัยพระพุทธกาล มีเด็กเลี้ยงโค 7 คน มักนำโคออกไปหากินกลางทุ่งด้วยกันมาแรมปี เด็ก 7 คนนี้สนิดเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เริ่มเลี้ยงโค อยู่มาวันหนึ่งเมื่อต่างได้ปล่อยโคของตนเองออกหากินอย่างที่เคย ต่างได้มาจับกลุ่ม เล่นกันตามปกติ ยิงนกตกปลา เล่นเกมส์ ต่างๆ ตามประสาเด็กที่ซุกซน วันนั้นมีตัวเงินตัวทองตัวหนึ่ง วิ่งออกจากพงหญ้าหลงไปในกลุ่มเด็ก เด็กทั้ง 7 ต่างสนุกสนานวิ่งไล่จับตัวเงินตัวทองตัวนั้นกันอย่างไม่ลดละ เขาได้วิ่งหนีเข้าไปในรูดินแห่งหนึ่ง เด็กๆ ไล่ต้อนให้ออกมาแต่ไร้ผล ท้ายสุดเด็กจึงนำเศษไม้ ฟางหญ้า ดิน มาช่วยกันอุดรูเอาไว้อย่างแน่นหนา แล้วไปซุกซนเล่นกันทางอื่นต่อ ครั้นบ่ายคล้อยต่างพาโคของตนบากหน้าคืนสู่เหย้า วันต่อๆ มาเด็กทั้ง 7 พาโคไปเลี้ยงยังทุ่งหญ้าแห่งอื่นๆ เพื่อให้หญ้าขึ้นทันเป็นอาหารโค เป็นเวลา 7 วันพอดี เด็กพาโคมากินหญ้าในทุ่งแห่งเดิมที่กักขังตัวเงินตัวทองไว้ เด็กจำได้ต่างพากันไปขุดคุ้ยเปิดปากรู พบตัวเงินตัวทองตัวเดิมที่หล่นเผละออกมาในสภาพหมดเรี่ยวแรง ผอม จนเหลือแต่หัวโต เพราะขาดทั้งน้ำและอาหาร เด็กๆ หัวเราะชอบใจ ทั้งขำทั้งสมเพชในสภาพจึงปล่อยตัวเงินตัวทองตัวนั้นไปตายตามยถากรรม สรุปมันรอดแบบเจียนได้ เด็กทั้ง 7 คนนี้ เมื่อพ้นจากชาตินั้นไปแล้วได้ไปเกิดในชาติเดียวกันอีกหรือไม่? ใครไปเกิดเป็นอะไรที่ไหน? อีกกี่ภพกี่ชาติจึงจะได้มาเกิดรวมกลุ่มเดียวกันอีกทั้ง 7 คน? เราก็ไม่รู้? แล้วในเวลา 7 วันนั้นที่ตัวเงินตัวทองตัวนั้นเขาติดอยู่ในรูนั้น เขามีสภาพกายอย่างไร? หิวโหย ขาดน้ำ แล้วสภาพจิตเขาล่ะเป็นอย่างไร? มึงมาทำกูทำไม? กูไปทำอะไรให้มึง? ลูกเมียกูอยู่ทางบ้านห่วงหาอาลัย รอกูอยู่ ? มึงมาทำกูทำไม? กูจะต้องตายอยู่ในรูนี้โดยไม่เห็นหน้าลูกหน้าเมียเลยหรือ กูจะขออาฆาตจองเวรมึงไปทุกชาติภพ? ซวยไหมนั่นน่ะโดนเข้าอย่างนี้
จากคำสาปแช่งความแค้นหนี้ เวรหนี้ กรรมรายนี้เขารอคอย รวมทั้งแอบแฝงอยู่ในดวงจิตของคนทั้ง 7 คนอย่างไม่เคยลืม เขารอคอยจนกว่าจะถึงคิวของเขาเมื่อถึงวาระเวลาที่เด็กทั้ง 7 คนได้มาเกิดพร้อมกัน ก่อนที่คนทั้ง 7 จะได้มาเจอกัน ต่างก็แยกย้ายกันไปปลดหนี้เวรหนี้กรรมรายอื่นๆ แยกย้ายกันไป ตามคำกล่าวที่ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม จนกระทั่งเขาทั้ง 7 ได้บวชเรียนในร่มกาสาวพัสตร์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรงกับสมัยของพระตถาคตพอดี แสดงว่าคนทั้ง 7 ต่างก็ได้สั่งสมอริยทรัพย์ หรือกุศลกรรมกันมาอย่างมากด้วยเช่นกัน ทั้ง 7 ชวนกันจาริกไปตามป่าเพื่อหาสถานที่สัปปายะ เพราะตรงกับเทศกาลเข้าพรรษาพอดี เมื่อไปถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งจึงตรงเข้าพึ่งพาวัด เพื่อจะค้างแรม ในคืนนั้นเจ้าอาวาสในวัดออกมาต้อนรับอย่างดีพร้อมทั้งบอกว่าเป็นวัดเล็กๆ ไม่มีที่พอสำหรับพระ 7 รูป แต่ไม่ไกลจากหมู่บ้านมีถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งได้ส่งนักพรตมุณี ไปปฏิบัติธรรมกันหลายรูปแล้ว สัปปายะดีมาก แล้วเช้ามาให้มาฉันพร้อมเพรียงกันที่วัด เมื่อตกลงกันดังนั้นแล้วจึงให้พระเณรในวัดช่วยกันหอบเสื่อสาด เครื่องห่มนอน น้ำท่า พร้อมนำพาไปที่ถ้ำ ทุกอย่างอย่างเรียบร้อย พระทั้ง 7 จึงจำวัดปฏิบัติธรรมที่ถ้ำในคืนนั้น
รุ่งอรุณวันใหม่เมื่อพระทั้งหมดต่างทำภารกิจส่วนตัว และทำวัตรเช้ากันเสร็จ ต่างมายังปากถ้ำพบว่ามีหินก้อนใหญ่มาปิดปากถ้ำ จึงช่วยกันผลักดันจนเหงื่อไหลไคลย้อย ต่างพากันเข้าใจผิดว่าพระในหมู่บ้านเป็นผู้กระทำ ฝ่ายพระในหมู่บ้านได้รอจนสายแก่ๆ พระทั้ง 7 รูปยังไม่มา จึงส่งเณรไปนิมนต์ เมื่อเณรมาพบเหตุเป็นเช่นนี้จึงรีบออกไปบอกเจ้าอาวาส เมื่อเคลียร์กันได้ว่า ไม่มีใครทำ ไม่รู้สาเหตุ เจ้าอาวาสจึงได้ไประดมคนในหมู่บ้านมาช่วยกันผลักหิน ไม่ว่าจะผลักจากข้างนอก หรือข้างในหินก้อนนั้นไม่ขยับด้วยแรงกรรม จนทุกคนปลงกันแล้วว่าพระทั้ง 7 รูป จะต้องขาดน้ำขาดอาหารตายอยู่ในถ้ำอย่างแน่นอน ต่างสลบไสลด้วยความเหนื่อย หิว เพลีย กันอยู่ในถ้ำ ภายนอกมีทั้งชาวบ้าน พระกองกันอยู่เช่นกันเพราะหมดปัญญาหนทางจะช่วยพระทั้งหมดได้ แต่ก็ยังไม่ทิ้ง พอผ่านไป 7 วัน 7 คืน รุ่งอรุณของวันที่ 8 ที่ทุกคนต่างท้อใจหมดหวังกันหมดแล้ว พระกลับตื่นมาพบว่า หินก้อนนั้นได้อันตรธานหายไปเองอย่างปราศจากร่องรอย หลังจากนั้นพระทั้ง 7 ได้ถูกเลี้ยงดู บำรุงรักษา จนคืนสภาพ แล้วมุณีทั้งหมดจึงพากันเดินทางไปหาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อสอบถามพระองค์ดูว่า ใครเป็นคนเอาหินมาปิดปากถ้ำ มันเกิดอะไรขึ้น คำตอบออกมาว่า “ มันเป็นกฎของธรรมชาติ ที่เรียกกันว่ากฎแห่งกรรม ” แล้วพระองค์ได้เล่าเรื่องวิบากของเด็กเลี้ยงโคทั้ง 7 ที่ได้ร่วมกันก่อไว้ให้ฟัง ต่อตอน 3

พลิกตำนาน …ของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ฉบับสมบูรณ์ และหนังสือจากศูนย์สู่ดับสูญ รวบรวมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หนังสือชุดนี้จัดพิมพ์เป็นที่เรียบร้อย ( ส่งต่างประเทศในช่วงสถานการณ์ของโรคระบาดไวรัสโคโรนา เราจะจัดส่งให้ทางเรือ ) หากท่านใดสนใจ

ธรรมมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ทุกชาติทุกศาสนาที่นำมาศึกษาปฏิบัติ ต่างพบกับสัจธรรมของชีวิตอย่างชัดเจน เพราะพระองค์ไม่เคยเน้นว่า ธรรมะเป็นของพระองค์ หรือของพระพุทธศาสนา แต่เป็นของมวลมนุษย์ชาติที่มองหา ความสุข สงบ ทางใจ นำไปใช้ได้ทุกคน
หนังสือจากศูนย์สู่ดับสูญ รวบรวมคำสอนขององค์พระพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มรดกของชาว พุทธแท้ พุทธะ ของท่านพุทโธ
