ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 17

เหตุเกิดเมื่อปี 2016 ประมาณ กลางปี เมื่อเราเดินทางกลับจากออสเตรเลีย ประมาณเดือนตุลาคม  ขณะนั้นได้นำเอาคุณแม่ เจนจิรา แก้วคำ มาอยู่บ้านบุญรักษา มีเด็กพม่าดูแล ชื่อดูทา ซึ่งพอที่จะไว้ใจได้  การเดินสาย เช่นไปอเมริกาบ้าง ออสเตรเลียบ้าง กลับมาแต่ละครั้งนำเงินกลับมาบ้านหลักแสนบาท  6 เที่ยวที่ไปออสเตรเลีย 6 เที่ยวที่ไปอเมริกา (อเมริกาอย่างต่ำ 5 แสน ทุกรอบ)ได้เก็บสะสมปัจจัยไว้เพื่ออะไร เรารู้ดีอยู่แก่ใจยอมเหน็ดเหนื่อย ขณะเดียวกัน ใจหายทุกทีที่ต้องจากแม่ไกล โดยเฉพาะการไปอเมริกา แต่ละครา 6 เดือน เหมือนใจจะขาด กลับมาทีไร มีแม่รออยู่ที่บ้าน แต่การไปออสเตรเลีย แค่ 2 เดือน รู้ว่าแม่แก่ชราดังไม้ใกล้ฝั่ง แม่ถามหาทุกวัน บ้างก็พูดว่า “จิ๊ดไปไหน”  จิ๊ดไปนานเกินไปแล้วเมื่อไหร่จะกลับ” กลับจากออสเตรเลียครั้งนี้ แม่โอเค จากเดือนตุลาคม เรามีโอกาส ได้อยู่กับแม่ จนถึงวันที่ 20 พ.ย.ชีพจร ก็ลงเท้าอีก เพราะการไปออสเตรเลียเที่ยวล่าสุดได้ไปเปิดคลาสสมาธิสอนธรรมะอันเป็นแก่นหาสาระของพระตถาคต ไปคลิ๊ก เปิดสวิตซ์ ให้เขาได้แสงแห่งปัญญา กันนับไม่ได้พวกเขาเข้าใจ จิตเขาสงบ รู้วิธีการนั่งปฏิบัติ มันคือผลงานที่เบื้องบนจับตาดูอยู่ เหนื่อยแทบขาดใจ มันไกลเกินคำว่าลากเลือด  สายตัวแทบขาด  แต่มันเข้าตากรรมการเบื้องบน  เขาจึงให้มีโอกาส ได้ไปอินเดีย เป็นครั้งแรก แบบส้มหล่น ฟลุ๊คที่สุด แต่สิ่งที่ไปได้มาจากอินเดีย กลับกลายเป็นโชค 2 ชั้นที่คนหลายๆคน ไปอินเดียมาแล้วคนละหลายๆครั้ง แต่ไม่เคยได้ มันมาเลย  ชวนฉงน เมื่อเราไปเพียงครั้งแรกได้มาถึง  3 ชิ้น ชิ้นหนึ่งให้เจ้าแพรว ที่ตัดสินใจไปกับเราในวินาทีสุดท้าย ก่อนเดินทางทำวีซ่าแทบไม่ทัน

เรื่องมีอยู่ว่าคุณ เกสร  ขวัญลดา เธอเป็นแค่แฟนคลับทางเฟสบุ๊ค ได้ตามเฟสเรามาเกือบปี ส่งข่าวมาว่า หนูจะไม่อยู่ ในเมืองไทยจะไปอินเดียกับเพื่อน เราถามกลับไปเล่นๆ ว่าไปอย่างไร พอเธอบอกไปกัน 2 คน เราตกลงเลย ขอไปด้วย ขออีก 2 ที่ ทุกอย่างแชร์กัน 4 คน เรากับแพรวมีโอกาสทำเรื่องยื่นขอวีซา เตรียมตัวกันใน  7 วัน เพราะหมายกำหนดเดินทาง 25 พ.ย. 2016 กำหนดกลับ 4-5 ธ.ค. 2016

พวกเราได้ เช่ารถส่วนตัวไป 4 สังเวช ข้ามไปถึงเนปาล พาราณสี ลุมพินี นาลันดา เขาคิชฌกุฏ  พุทธคยา เมืองสาวัตถี รวมเป็นเวลาเกือบ 7 วัน ที่ต้องออกกันแต่ 05.00 เช้า กลับเข้าที่พัก18.00- 20.00 แทบทุกวัน สำหรับคนที่ทานมื้อเดียวอย่างเรา มันโหด เขา 3 คนนั้น พอตกเย็นก็เติมพลัง เข้าร้านอาหารกัน เราไม่มีทางเลือก เข้าไปด้วยแต่ไปนั่งหลับรอพวกเขาทานข้าวกัน แต่จานวา กว่าจะได้กิน ก็เช้าหรือสายวันถัดไป

เมื่อไปถึงนาลันทา เราได้ไปปลดส่งวิญญาณที่นั่น ที่เยอะมาก ตามที่ปู่เวชให้มา ว่า 5 จุด ตอนนี้ไปแล้วหลายจุดนับแสนที่ส่งไป ซึ่งเขาไปดีกันทั้งหมด เช็คกับเบื้องบนแล้ว ไม่ใช่ส่งแบบซี้ซั้ว  พอขากลับคุณ เกสร กับเพื่อน จะขอแยกไปถ้ำอชันตา เจ้าแพรวขอแยกไปทัชมาฮา  แล้วลากเราไปด้วย งานนี้จะต้องต่อรถไฟจากเมือง คยา ไปอักครา  เดลฮี แล้วต่อรถจากเดลฮีไป อักครา อีกที เพราะทัชมาฮา อยู่ข้างแม่น้ำยมุนา ซึ่งทำเลที่ตั้งของทัชมาฮาลนี้ กล่าวกันว่า ฮวงจุ้ย ประเสริฐสุด

รถไฟในอินเดียขึ้นชื่อว่า สายกันเป็นวัน เรากับเจ้าแพรวต้องไปนอนกันข้างทางรถไฟกองรวมกับอาบังทั้งหลาย

เมื่อไปเมื่องคยา เพื่อกราบองค์พระปฐม พระพุทธเมตตา กับไหว้ต้นโพธิ์ที่ทรงตรัสรู้ เราโชคดี เข้าไปตรงกับเวลาที่เขาเปลี่ยนผลัดผ้าให้องค์พระเมตตา ผู้คนต่างเบียดเสียดกันเข้าไปเพื่อให้ได้ผ้า เราได้ ผ้าสไบ มาอย่างเหลือเชื่อ แล้วลากมือเจ้าแพรวเข้าไปขอ อีกผืน เจ้าแพรวเลยได้มาด้วย  ครั้งสุดท้ายก่อนเดินทางกลับเราสองคนไปติดอยู่ที่คยา เลยเดินเที่ยวเล่น ไปไหว้ พระเมตตา ที่คยา องค์ปฐม กันอีก ครั้งนี้ว่างไม่มีใครเลย นักท่องเที่ยว หายไปไหนกันหมด  เราเดินไปเบื้องหน้าเพื่อเข้าไปกราบ เห็นผ้าสไบสองผืนวางอยู่ เรามองดู ๆ ไม่กล้าแตะ กระทั่ง หญิงชาวทิเบตคนหนึ่งเดินเข้ามาไหว้พระเมตตา พอดีเจ้าหน้าที่เดินเข้ามา หญิงผู้นี้เอ่ยปาก ขอผ้า เธอโชคดีมาก เขาเอ่ยปากให้ เธอคว้าลงตะกร้า กำลังจะเดินออกไป เราหยุดไว้ กับขอเธออย่างนอบน้อม ว่า “แบ่งผ้าให้เราผืนได้ไหม เรามาไกลมาก” “ไม่ได้หรอก มันมีแค่ผืนเดียว”เธอตอบ “มันมี 2 ผืน ให้เราผืนหนึ่งเถิด” เมื่อเธอก้มลงหยิบผ้า เห็นว่ามี 2 ผืนจริง

เธอจึงส่งให้เราหนึ่งผืนแล้วเดินจากไป ผ้า 2 ผืนที่เราได้มา มาจากบ่าของพระเมตตา จากองค์ปฐม ที่พุทธคยา ที่น้อยคนจะได้ เจ้าแพรวเลยพลอยเป็นปลื้มไปด้วย

สะโพกแม่หักเพราะล้มในห้องน้ำ ซึ่งพวกเราคาดการณ์กันไว้แล้วว่า สักวัน วันนี้จะมาถึง คงถึงวาระของแม่ ที่แม่จะต้องชดใช้อะไรบางอย่าง แม้จะรู้ทั้งหมดล่วงหน้า น้ำตา มันกลั้นไม่อยู่ แม่ได้ชดใช้กรรมที่ทำไว้ แบบที่เรียกกันว่า กรรมเลี้ยง เราคนเดียวเท่านั้นที่ รู้ว่าแม่ทำกรรมอะไรไว้ ในเฉพาะชาตินี้ ไม่รวมชาติก่อนๆ รู้ทั้งรู้ว่าแม่โดนกรรมเลี้ยง กับจำคำที่ท่านเจ้าคุณในวัดบวร เคยทักฝากเจ้าอ้อม  เคยเขียนไปแล้วในบท “กบเลือกนาย” ท่านทักมาว่า กรรมของแม่มาก หนักหนาสาหัส เมื่อแม่ละขันธ์ไปแล้ว แม่จะไปเป็นเปรต หลุดจากนั้น จะไปเกิดเป็นแมวดำอาศัยอยู่ตามหลุม ฝั่งศพ แต่เจ้าเท่านั้นที่จะช่วยแม่ได้ แล้วเจ้าจะรู้เองว่าต้องทำอย่างไร  เพียงได้ยินแค่นั้น เข่าเราอ่อนสงสารแม่จับใจ  แม่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ กลับบ้านไม่ได้ จากเดือนธันวาคม  2016 ถึง กุมภาพันธ์  2017 จนข้ามปี มันจึงจัดเป็นวาระปีใหม่ กับวันคริสต์มาส ที่โหดร้ายที่สุดในชีวิตของจานวา แม่โดนเจาะคอ พูดไม่ได้ ปอดติดเชื้อ แผลกดทับ อย่าให้บอกถึงความเจ็บปวดของเราทุกทีที่ไปเยี่ยมแม่เลย  แม่ได้แต่มองด้วยสายตา เลื่อนลอยหมดแล้วซึ่งความหวังไม่เหลือแม้แต่แสงริบหรี่ ไม่รู้แม้แต่ว่า ตายแล้วจะไปไหน ด้วยกรรมของตนเองนั้นสาหัสนัก เพราะตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ แม่ไม่เคยรับรู้เลยว่า ลูกคนนี้สร้างบุญอะไรไว้มั่ง ไม่เคยสนใจ ทุ่มความรักให้แต่ลูกชายกับหลานชาย กรรมจึงบังตา นาทีสุดท้ายแม่จึงคว้าง เวลาใครไปเยี่ยมยืนข้างเตียง แม่จะเกาะกุมมือแน่นสุดแรงเกิดไม่ยอมปล่อยมือกลัวต้องถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว  บางคืนตื่นมาไม่เห็นหน้าลูกเต้า  ถูกปล่อยทิ้งไว้ กับคนไข้อื่นๆ ที่ร่วมห้อง ต่างก็พากันร่วงไปดังใบไม้ ร่วงทีละคน ทีละคน แต่แม่อึดมาก ไม่ยอมไป ทนเจ็บ  กับแผลกดทับ แผลที่เท้า หมอจะตัดเท้าแม่เราไม่ยอม ท้ายสุดวันที่ 12-15 กุมภาพันธ์ 2017 เราได้ตัดสินใจเปิดคลาสสั้นๆ สอนสมาธิ เพื่ออุทิศส่วนบุญในการสอนครั้งนั้นให้แม่ กับอย่าให้แม่ทรมานต่อไปเลย ให้แม่ไปอย่างสงบ กับได้รวบรวมเสื้อผ้าเก่าๆของลูกศิษย์ลูกหาจากกรุงเทพ ของใช้เก่าๆของเรา ของหลายลังถูกส่งมาจากกรุงเทพ กับลูกศิษย์ลูกหาจากทางออสเตรเลีย ได้ส่งปัจจัยมาช่วย  เราได้เอาของใช้แล้วเสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋า ส่วนมากมาจากอเมริกา ใส่รถหอบไปวางขายกับเจ้าน้อย ที่หน้าโรงพยาบาลนครพิงค์ เพื่อรวบรวมปัจจัยไปซื้ออาหารแห้ง  จัดใส่ถุงได้150 ถุง เจ้าน้อยเป็นชาวไทยใหญ่ อยู่ที่เชียงดาว อาสามาดูแลแม่ น้อยเป็นคนดีมาก รักแม่จริงๆ น้อยพาเพื่อนคือเจ้าฝนมาช่วยขายของ เราไปนั่งขายข้างกำแพงรพ.ภายนอกอยู่ 4 วัน โดยเอาเสื่อปู หอบราวแขวนผ้าไปตั้ง หอบข้าวไปนั่งทานโดยอธิษฐานจิตขอให้ขายได้  แล้วผลัดกันขึ้นไปเฝ้าไข้แม่ด้วย ปรากฏว่าขายดิบขายดี รวบรวมเงินทั้งหมดได้เกือบสองหมื่นบาท รวมที่เขาส่งมาจากออสเตรเลีย  เรานำไปซื้อข้าวสาร เกลือ น้ำตาล อาหารแห้ง  วุ้นเส้น มาม่ากึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง กาแฟผง ไข่ไก่สด รวมเสื้อผ้า นำใส่รถไปแจกชาวเขาที่เชียงดาวบ้านเจ้าน้อย แล้วเปิดคลาส 3 วันให้แม่ เพื่ออุทิศส่วนกุศลทั้งหมดให้แม่  ให้แม่ได้พ้นทุกข์ แม่ทานอาหารก็ไม่ได้ หายใจก็ไม่ข้องคอ จะไปก็ไม่ไป ทรมานอยู่บนเตียง รู้ว่าใจแม่อยากกลับบ้านที่สุด แต่รู้อีกว่า วาระจิตแม่ขณะนี้ แม่รู้ชะตาตนเองแล้ว จิตเราจับอยู่กับจิตแม่ตลอด ครั้งหนึ่งขณะที่แม่ยังมีสติ กับพอพูดได้แผ่วๆ เราถามแม่ว่า “คุณแม่ รักจิ๊ดหรือเปล่า” แม่พูดไม่ได้ แต่พยายามสุดขีดพูดคำว่า “รัก” ออกมา มันมีแต่ลม ไม่มีเสียง แต่จับรูปปากได้ ตลอดชีวิตที่เป็นลูกแม่ ไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากปากแม่เลย เพราะแม่มองข้าม ทำดีแค่ไหนแม่มองไม่เห็น พอมาวาระสุดท้ายแม่คงพอรู้ว่าบารมีลูกคนนี้ ไม่ธรรมดา กับเป็นเพียงคนเดียว ที่เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้แม่กับมือจนวาระสุดท้าย ท้ายสุดก็ได้ยินคำว่ารักจากปากแม่เป็นครั้งแรกกับครั้งเดียวในชีวิต ก็ต่อเมื่อเกือบเป็นวันสุดท้ายในชีวิตแม่ ก็ยังดีกว่าไม่ได้ยินเลย   ทุกวันเราเดินกลับมาที่รถเพื่อกลับบ้าน เพราะเขาไม่ให้นอนค้าง เราต้องเดินร้องไห้ออกมาทุกวัน กับต้องเดินผ่านปู่ชีวกโกมารภัจจ์ ทุกเย็น  ท่านเห็นเรา ท่านรู้ ท่านเห็น   ผลออกมาอย่างไรตามตอนต่อไป