ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 82

จะว่ากันไปแล้วอาถรรพ์จากคุณไสย การเล่นของ ปล่อยของที่ยังมีอยู่ในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับอาถรรพ์ของป่าดงพงไพร เป็นแรงที่พอกัน เป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังเข้าไม่ถึง กับไม่มีทางที่จะเข้าถึงได้ อาถรรพ์ในป่าดิบ เป็นเรื่องที่ง่ายๆ แต่เข้าใจกันได้ยากจนถึงขั้นไม่ยอมจะเข้าใจกันเสียเลย ผลสุดท้ายเลยเอาชีวิตไปสังเวยกันในป่าซะมากต่อมาก เพราะเพราะความเห็นแก่ตัวของมนุษย์แท้ๆ บางรายตายไปแล้วถึงจะเข้าใจ บางรายแม้ตายไปแล้วยังไม่เข้าใจ บางรายหนักไปกว่านั้นว่า …. “ ตูตายหรือยังนี่ ” คือตนเองตายไปแล้วก็ยังไม่รู้ อย่างเรื่องจริงอีกเรื่องที่เป็นตำนานเล่าสืบต่อกันมา ถึงป่าดิบแถวเขตตะเข็บแดนไทยกับพม่า ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของกะเหรี่ยงกลุ่มหนึ่ง มันเป็นชุมชนเล็กๆอยู่กันแค่ 7 หลังคาเรือน ความเถื่อนจากอาถรรพ์ป่าทำให้ชาวบ้านจำต้องโยกย้ายกันบ่อย สาเหตุก็ไม่พ้นจากอาถรรพ์ป่า เช่นผีโป่ง ผีป่านางไม้ แรงเสือสมิงออกเที่ยวล่าฆ่าคนมากิน ไข้ป่าชุก ปอดชุก กระสือชุม  ทำให้อยู่ไม่ได้ มีคนตายกันทุกครัวเรือน ความตายของคนพวกนี้ดูง่ายมาก หากมีอาการป่วยแล้วน้อยคนที่จะรอด สมัยก่อนหยูกยา รถรายานพาหะนะ สะดวกเสียเมื่อไหร่ คนที่พากันมาตายทับถมกันในป่า มาหลอกมาหลอนซ้ำเติมกันอีก ทำให้อยู่ไม่ได้ โยกย้ายกันจนเป็นอาชีพหลัก บางทีพากันมาถางป่า ทำลายป่าไม้มีราคาสูงๆ ถูกคนพวกนี้ตัดเรียบ เพื่อที่จะปลูกไม้ล้มลุกราคาถูกๆแทน เช่น ข้าวโพด มัน พริก มะนาว เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องประทังชีวิต เพราะสมัยนั้นไม่มีการทำงาน ไม่มีการใช้เงิน  พอเวลาผ่านไป 2-3 ปี หน้าดินจืด หมดคุณค่าก็โยกย้ายไปถากถางป่าที่ใหม่ เพื่อเอาดินมาเป็นพื้นที่ปลูกไร่นาแทน คนพวกนี้จึงได้ชื่อว่าทำลายทรัพยากรธรรมชาติเพื่อยังชีพ  ยิ่งมีพวกนายทุนวานจ้างให้ตัดไม้ด้วยแล้วละก็ เลิกทำสวนทำไร่เลย มาถางป่ากันเป็นอาชีพหลัก นายทุนพวกนี้ทำงานกันเป็นขั้นตอน ไม้ที่ถางกัน ล้มเป็นหมื่นๆต้น นำออกมาเองเมื่อไหร่โดนจับข้อหาทำลายชาติอย่างไม่ต้องสงสัย จึงใช้วิธีให้กรมป่าไม้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตีตราไม้เหล่านั้นทุกท่อนเป็นของแผ่นดิน แล้วให้ทางกรมป่าไม้นั่นแหละลากขนไม้หลวงมา ในเมือง มาประมูล พวกที่เป็นขาใหญ่ คนสั่งตัดไม้จะเข้ามาประมูลไม้ของตัวเองเอง ใครจะเข้ามาประมูลก็สั่งฆ่าสั่งเก็บ ยิ่งเข้าพวกกับพนักงานด้วยแล้วละก็ สะดวกโยธินทุกอย่างเปิดให้ขายชาติได้อย่างง่ายดาย แต่ปัญหาเยอะมาก โดยเฉพาะถ้าไม้เหล่านี้ถูกทิ้งไว้ในป่าที่ไกลปืนเที่ยงกันนานๆ หลายๆครั้งที่ต้องตัดสินแก่งแย่งไม้กันด้วยปืนในป่าดิบ ซึ่งคนมีสี มีหน้าที่ทางการเมือเองนั่นแหละอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น เราอย่าไปรู้เรื่องสกปรกของพวกทำลายชาติ ล้างแผนดินเลย ซึ่งจำนวนไม่น้อยที่ได้พบกับกฎแห่งธรรมชาติ ที่เรียกกันว่ากฎแห่งกรรมไปเรียบร้อยแล้ว หนีกฎหมายคงหนีกันได้ แต่หนีกฎแห่งกรรมหนีไม่พ้น ก็ขอแสดงความยินดีด้วยที่ซวยเอาตอนจบ ไม่ตายดี

กะเหรี่ยงเผ่ากรอโก๊ะ เป็นกะเหรี่ยงเผ่าเล็กๆเผ่าหนึ่ง ในหุบเขา มีลำห้วยเล็กๆสองสายมาบรรจบกันท้ายหมู่บ้าน  ไม่รู้พากันหนีตายหรือหนีอะไรมาจากป่าไหน จึงมีกันแค่หยิบมือเดียว คือ 7 หลังคาเรือน บ้านก็สร้างกันง่ายๆ ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ง่ายต่อการโยกย้าย ใบตองตึงบ้าง ใบตองบ้าง ฟางแห้งบ้าง กับดินเหนียว และไม้ไผ่กับเถาวัลย์ ที่หาได้มากมายในทุกป่า เดเพ เป็นหนุ่มชาวกะเหรี่ยง วัยกำลังบุกเบิก เช่นปกติทุกวันเขาจะคว้าหน้าไม้ออกป่าเพื่อหาของป่ามายังชีพ เลี้ยงครอบครัว เป็นเวลาสายแก่ๆแล้วที่เขาบุกป่าย้อนลำห้วยขึ้นมาโดยไม่ได้อะไรเลย เขาจึงหยุดที่ลำห้วย วางเป้ลง กวักน้ำดื่ม ซึ่งเป็นน้ำที่มาจากต้นน้ำในยอดดอยลึกเข้าไปในป่าดิบ มันเย็นสะอาดบริสุทธิ์นำความสดชื่นกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขาดื่มน้ำอยู่นั้นเขาสังเกตเห็นผึ้งฝูงใหญ่ แต่ละตัวขนาดผึ้งหลวง มันบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าที่ยังคงสภาพดีมาก ผึ้งทั้งฝูงพากันมากินน้ำ เขารู้ได้เลยว่าต้องมีรังผึ้งอยู่ในบริเวณนี้ เขาจึงรีบคว้าหน้าไม้ ย่าม ออกตามผึ้งฝูงนั้นไปอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยได้น้ำผึ้งติดมือกลับบ้านก็ยังดี ยังสามารถไปแลกเปลี่ยนกับเกลือ หรือเนื้อกวางจากเพื่อนบ้านได้ สมัยนั้นยังไม่มีเงินไม่มีการทำงาน สินค้าทุกอย่างชาวบ้านเขาจะแลกเปลี่ยน แบ่งปันกัน ไม่นานเขาก็หลงกับผึ้งกลุ่มนั้น แต่ได้เดินลึกเข้ามาอีกพอประมาณ ซึ่งไม่ห่างจากลำห้วยเท่าไหร่นัก เขาจึงตรงไปหยุดพักข้างลำห้วยพร้อมควักอาหารข้าวห่อ กับเนื้อกวางชิ้นเล็กๆที่ตระเตรียมมารองท้อง ขณะที่กำลังอร่อยอยู่กับอาหาร สิ่งแวดล้อมธรรมชาติอันสงบนั้น เขาได้ยินเสียงนกร้องอยู่ไม่ไกลนัก แล้วเสียงนกนั้น ใกล้เข้ามา เป็นนกสีน้ำเงินขาวตัวเล็กเท่านกกระจอก จนท้ายสุดเกาะอยู่กิ่งไม้เหนือลำห้วย เยื้องกับศีรษะเดเพ เล็กน้อย สำเนียงร้องว่า สองสามห้า สองสามห้า สองสามห้า พร้อมกระดกหัวกระดกหางไปมา อยู่ใกล้ๆเขาเหมือนมันพยายามจะสื่อ หรือจะบอกอะไรเขาสักอย่าง  แม้เขาจะโบกมือไล่ นกก็ไม่ยอมไป ยังบินวนไปมา เกาะกิ่งไม้  ร้องด้วยสำเนียงเดิมว่า สองสามห้า สองสามห้า สองสามห้า ( ไม่ใช่ใบ้หวยนะอย่าคิดลามกกัน ) ชาวบ้านกะเหรี่ยงเขาไม่เล่นเหมือนชาวเมือง

เดเพมองนกตัวนั้นที่ขณะนี้อยู่เบื้องหน้าเขา นกยังกระดกหัวหางร้องสำเนียงเดิม เหมือนชวนเชิญอะไรบางอย่าง พลัน เขาก็จำตำนานเก่าๆ ที่ปู่เคยเล่าให้ฟังว่า นกจะพาไปหารังผึ้ง นกตัวที่ปู่บอก ลักษณะฟ้าขาวตัวเล็กๆ ตรงกับนกตัวนี้ที่พยายามจะพาเขาไปตีผึ้ง  เมื่อเจอรังผึ้งแล้วเขาจะขอส่วนแบ่ง เพราะเขาเองตีผึ้งไม่ได้ นกชนิดนี้จะชอบกินน้ำผึ้งมาก เมื่อคิดได้ เดเพ จึงลุกขึ้น เก็บสัมภาระอย่างรวดเร็ว ตามนกน้อยไปทันที นกเหมือนจะรออยู่แล้ว  มันพาเดเพ บินเข้าป่าลึกเข้าไปอีก เดเพ คิดที่จะเดินออกนอกทาง นกก็จะบินย้อนกลับมา ร้อง สองสามห้า สองสามห้า สองสามห้า รอบตัวเขาจนกระทั่งเขายอมเดินตามนกกลับมาตามเดิม  นกได้นำเขามาพบต้นไม้ขนาดใหญ่  มีรังผึ้งรังโดดขนาดใหญ่อยู่เบื้องบน เดเพไม่รอช้า จัดแจงไปหาเศษไม้ ใบหญ้ามาสุมกองรวมกันใต้ต้นไม้ แล้วจุดธูปบอกเจ้าป่าเจ้าเขา ขออนุญาตนำรังผึ้งรังนี้ไปประทังชีพเลี้ยงครอบครัว จากนั้นเขาได้ก่อไฟสุมอยู่ครู่ใหญ่ ผึ้งทั้งรังก็พากันแตกฮือ พรูออกมาบินหนีควันไฟอย่างไม่คิดชีวิต เดเพ จึงใช้พร้ากับกระบอกไม้ไผ่ขนาดเขื่อง ปีนต้นไม้ขึ้นไปปาดรองน้ำผึ้งได้อย่างง่ายดาย เขาได้นำใบไม้ขนาดใหญ่ตัดรวงผึ้ง และนำผึ้งส่วนหนึ่งวางที่พื้น  “ ส่วนแบ่งของเจ้ามาเอาไป ขอบใจนะ ” วันรุ่งขึ้น เดเพออกหาน้ำผึ้งอีกโดยมีนกน้อยเป็นผู้นำทาง เมื่อได้น้ำผึ้งมาทุกครั้ง เขาก็จะแบ่งส่วนให้สหายตัวเล็กของเขาทุกครั้ง กระทั่งเขานำเรื่องนี้มาบอกทางบ้าน ครอบครัวของเดเพ ได้ไปเปิดเผยความลับนี้ให้เพื่อนบ้าน ครัวเรือนต่อๆไปฟัง จนเกิดเป็นเรื่องขึ้น เมื่อชายเห็นแก่ตัว ในครัวเรือนหนึ่ง ได้ใช้วิธีแบบเดียวกันกับเดเพ นกน้อยสีขาวน้ำเงินบินนำเขาไปหารังผึ้งได้อย่างใจหวัง เขากระหึ่มใจ ใช่ว่าเดเพจะทำได้คนเดียว เมื่อเขาเสร็จภารกิจตีรังผึ้งได้ นกน้อยบินมาวนเวียน ทวงส่วนแบ่งร้อง สองสามห้า สองสามห้า สองสามห้า เขากลับไม่สนใจ ตรงกลับบ้านทันที  วันรุ่งขึ้นเขากลับมาใหม่ ได้พบนกน้อยสีน้ำเงินขาวเช่นเดิม ซึ่งก็พาเขาไปพบรังผึ้งที่อยู่คาคบไม้สูงกว่าต้นแรกที่พบวันก่อนมากนัก รังก็ใหญ่กว่านกพามาเพื่อหวังส่วนแบ่ง ครั้งนี้เมื่อเขารมควันจนผึ้งทิ้งรังไปหมด เขาก็เตรียมตะกร้า พร้า กระบอกไม้ไผ่ สะพายไหล่ กะตัดเอาผึ้งทั้งรัง  ขณะที่เขาปีนขึ้นไปได้ครึ่งทางนั้น ต้นไม้มีโพลงขนาดใหญ่อยู่ ซึ่งเป็นรังงู งูตกใจที่โดนควันรม โผล่ออกมา พบหน้าชายผู้เห็นแก่ตัวพอดี จึงถูกอสรพิษร้ายฉกเอาที่หน้าจังๆ เขาตกใจ ร้องลั่นป่าแล้วลอยละลิ่ว กระแทกคาคบไม้ ก่อนลงสู่พื้นดิน ก่อนเขาจะสิ้นใจ เขาเห็นนกสีน้ำเงินขาวบินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะ ร้องออกมา เป็นเสียงคนพูดเลยว่า สมน้ำหน้า สมน้ำหน้า สมน้ำหน้า

เรื่องนี้ใช้วิจารญาณ อย่างที่บอกสิ่งลี้ลับ อาถรรพ์ของป่าดิบ  ยังซุกซ่อนคำถามต่างๆนาๆ ที่ยังหาคำตอบไม่ได้ ไม่ว่าในทางใดๆ มาจนปัจจุบัน คนอย่างชายผู้นี้ ทุกวันนี้มีอยู่เยอะมาก ที่ต่างก็มีความเห็นเหมือนกันหมด คือ เห็นแก่ตัว …. สมน้ำหน้า ในชะตากรรมที่รอคอย พวกมันอยู่เบื้องหน้า โกง กิน ชาติบ้านเมือง ประชาชนจะเดือนร้อนจนแทบกินแกลบ พวกมันไม่สน