ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 38

เหตุเกิดที่โรงงานทำเห็ดร้าง….เวลามันผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ความทรงจำถึงเวลานาทีนั้นตอนเกิดเหตุ หัวใจเหมือนจะหยุดเต้น เหมือนมันแขวนเอาไว้บนเส้นด้าย จะหลุดมิหลุดแหล่  หรือพาลจะหยุดเต้นเอาดื้อๆ ด้วยความกลัว กลัวถึงขีดสุด กลัวสุดขั้วหัวใจ มันเป็นเช่นนี้เอง

ในปี 2014 เราได้มีโอกาสพบกับน้องสาว ชื่อตาล ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องทางฝ่ายแม่ ตามปกติแล้วไม่ค่อยได้พบปะสังสรรค์ กับน้องผู้นี้เพราะ ต่างคนก็ต่างทำมาหากินกัน พอรู้มาบ้างว่าเจ้าตาลมีหนี้สิน หลายล้านจึงอยู่นิ่งไม่ได้ แต่รายได้เธอเป็นหลักล้านเช่นกัน พอวิถีชีวิตนำเราสองคนมาเจอกัน ทำให้เจ้าตาลนิยมชมชื่นในตัวเราอย่างออกหน้า ในฐานะของผู้ปฏิบัติธรรม มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วโลกไปมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ เจ้าตาลมีเพื่อนคู่ใจเป็นสาวแก่แม่หม้ายอายุมากกว่าเธอเกือบ 30 ปี ชื่อคุณปาน เธออ้างว่าเป็นคนปฏิบัติ สายพระศิวะ ทุกอย่างที่เราทำอยู่ เธอคุยว่า เธอผ่านมาแล้วทั้งนั้น  เจ้าตาลชวนเราไปค้างพักแรมที่บ้านของเธอแถวร่มเกล้าอยู่ 2-3 คืน เราจึงมีโอกาสได้ถ่ายทอดประสบการณ์ในการปฏิบัติที่ผ่านมาให้เจ้าตาลฟัง แน่นอนเจ้าตาลฟังอย่างตื่นเต้น คุณปานนั่งฟังอยู่ด้วย  กับเธอรับไม่ได้ที่เจ้าตาลจะมาเคารพยกย่องเราอย่างออกหน้าออกตา มันจะล้ำหน้ากันเกินไป เราได้เล่าเรื่องแรงเจ้าที่ ที่ผ่านมาหลายแห่งให้เจ้าตาลฟัง คุณปานซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วย จึงพูดขึ้นว่า “ยังน้อยไป….สู้ที่บ้านพี่ที่สีคิ้วไม่ได้…อยากลองไหมล่ะจะพาไป….” เรารับคำท้าทันที

ที่มาของคุณปาน ในอดีตเธอมีอาชีพเป็นครูสอนเพาะเห็ดหลากหลายชนิด ทั้งเห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหัวลิง เห็ดโคน นัยว่าเธอทำรายได้จากการสอนอาชีพเพาะเห็ดได้อย่างเป็นกอบเป็นกำอยู่หลายปี ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมาเข้าคลาสอบรมกับเธอ  ทุกสรรพสิ่งย่อมเป็นไปตามกฎพระไตรลักษณ์ คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เจ้าตาลสนใจไปเรียนอาชีพเพาะเห็ดเอาตอนการสอนของคุณปานอยู่ในวาระขาลงถึงขั้นขาดทุน คุณปานสูญเสียธุรกิจสอนเพาะเห็ด แต่ได้เจ้าตาลมาแทนที่ โรงงานเพาะเห็ดของคุณปานที่ สีคิ้ว จึงถูกปิดตายนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คุณปานจึงหยุดทำงานทุกชนิดมาอยู่กับเจ้าตาลแทน  เมื่อถึงวันนัด เจ้าตาลมารับเราที่บ้านปัฐวิกรณ์ตรงเวลา แน่นอนมีคุณนายปานนั่งหน้าคุมมาด้วย เช่นทุกครั้ง เจ้าตาลเป็นคนขับ อาชีพที่เขาทำ ต้องเดินทางตลอด เหนือจดใต้ ออกจากกรุงเทพถึงทางแยกไปสายอีสาน ได้ไม่นานก็เข้าเขตปากช่อง และสีคิ้ว ถึงทางแยกเข้าป่าทางลูกรังแคบๆเป็นร่องของทางน้ำไหล คงเกิดจากน้ำป่า เจ้าตาลขับด้วยความระมัดระวังคนแก่ซึ่งนั่งคู่ด้วย คุณปาน เล่าว่าบ้านเธอที่สีคิ้ว มีใต้ถุนสูง เวลาน้ำป่าหลากไหลมามันเชี่ยวจัดไหลผ่านใต้ถุนบ้านเธอ แถมแยกออกเป็นสองสาย ทางหนึ่งน้ำขุ่นคลักเป็นสีเหลือง อีกทางน้ำเป็นสีเขียว….ว่าเข้านั่น….สองข้างทางมีไร่มันสำปะหลังบ้าง ข้าวโพดบ้าง กระทั่งยางพารา รถหักเลี้ยวเข้าซอยแยกออกไปอีก ยิ่งพบสภาพป่าล้อมเมืองมากยิ่งขึ้นมีบ้านให้เห็นน้อยลงๆ มีบ้านเพียงหลังเดียวอยู่ตรงปากทางเข้าซอย….เจ้าตาลจอดรถที่บ้านนี้ แล้วคุณปานได้ตะโกนเรียกชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นน้องชายของเธอเพื่อขอกุญแจบ้าน  จากนั้นรถกระบะปิคอัพของเจ้าตาลได้ฝ่าป่าดงหญ้าที่รกชัฏไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร มองไปเบื้องหน้าเห็นบ้าน กับโรงงานร้างอยู่ไม่ไกล มีหญ้าขึ้นรกไปหมด ทันทีที่ขนของขึ้นบ้านพวกเรา 3 คนได้มาช่วยกันถอนหญ้ารอบๆบ้าน บ้านน่าอยู่มาก สร้างจากไม้ กับกาบเปลือกต้นมะพร้าว ดูสว่างโล่ง เป็นจากบ้าง ฝาทำด้วยไม้ราคาถูกๆ แต่ดูทนทาน ช่างเป็นบรรยากาศของธรรมชาติเสียจริงๆ ใต้ถุนสูงมีแอ่งน้ำ ตรงนี้เองที่เวลาน้ำป่าไหลมาจะผ่านใต้ถุนบ้านซึ่งเปิดโล่ง มันเป็นบ้านแบบน้ำถึง ไฟถึง มีห้องครัวขนาดกะทัดรัด กับห้องน้ำหนึ่งห้อง มีระเบียงบ้า เปิดโล่ง ไว้นั่งกินลมชมดาว ห่างจากตัวบ้านไปทางบริเวณกลางพื้นที่ไม่ถึง 15 เมตร มีกระต๊อบเล็กๆ นัยว่าของคนงาน ทำด้วยไม้ไผ่ มีห้องเล็กๆ กับระเบียงแคบๆหน้าห้อง ปราศจากห้องน้ำ ห้องครัว เหมือนเพิงหลบแดด หรือป้อมยามซะมากกว่า หน้ากระต๊อบนี้มีลานหินขนาดกว้าง  มีต้นไม้รูปร่างประหลาดๆ ยืนต้นสูงท่วมหลังคาหลายต้นอยู่กลางลาน ถัดจากลานนี้ไปทางท้ายที่ติดป่า มีโรงงานเพาะเห็ดร้างดูมืดทึบภายใน เราไม่ใส่ใจจะเดินเข้าไปดู รู้แต่ว่าบรรยากาศ มันบอกความแรงได้ไม่ยาก โรงงานทอดตัวยาวไปเกือบ 20 เมตร ทำด้วยไม้ง่ายๆ มุงด้วยหลังคาใบตองตึงหลายชั้น ยังมีหิ้ง ชั้น หลากหลายที่เคยใช้เป็นที่เพาะชำเห็ด พอเห็นได้อยู่ภายใน บัดนี้เต็มไปด้วยหยากไย่ หญ้า ขาดคนดูแลมาเป็นเวลานาน จนเป็นที่อยู่อาศัยของอีกภพอีกภูมิหนึ่งไปแล้ว ใครอย่าไปแหยมทีเดียว เราช่วยคุณปานถอนหญ้าไป คุยกันไป….สายตาก็กราดมองดูทีหนีที่ไล่ อากาศเริ่มแดดร่มลมตกลงไปทุกที นกกาพากันบินกลับรัง ลมเย็นๆพัดมาพอสบายๆ  สองสาวเตรียมหาข้าวทานกัน เนื่องจากเราไม่ทานมื้อเย็นจึงบอก เจ้าตาลว่า “พี่จะไปนั่งสมาธิตรงกระต๊อบนะ พวกเธอหาข้าวทานกันไม่ต้องห่วงเรา” คุณตาลตกใจมาก พี่จะไปนั่งคนเดียวเหรอ พี่เปิดไฟได้นะ ตาลจะเปิดให้มีไฟต่อไปตรงกลางระหว่างบ้านกับกระต๊อบ” “ไม่ต้อง พี่ชอบมืดๆ” คุณปานพูดไม่ออก เพราะสิ่งที่เรากำลังจะทำ เธอเองยังไม่เคย และไม่กล้าทำ เธอจึงหุบปากเงียบ จิตเราจับได้ว่า เธอไม่ทำแน่นอน  “พี่จะนั่งชั่วโมงหนึ่งนะ เดี๋ยวพี่มา” ว่าแล้วเราก็เดินจ้ำอ้าวๆ ลงบ้านไปยังกระต๊อบที่เห็นอยู่ในความมืดสลัว พอเดินถึงกระต๊อบไม้ไผ่ หลังคาจาก ยกสูงจากพื้นเพียงเมตรเดียว ได้เวลามืดพอดี พอขึ้นบันไดไม้  3-4 ขั้นมีระเบียงแคบๆ แล้วก็ประตูเข้าห้องพอนอนได้แบบเบียดกันสองคน แต่ประตูไม่มีอะไรยึด จึงห้อยร่องแร่งอยู่ ซึ่งเราไม่สนใจภายใน เพราะรู้ว่าเป็นห้องว่างเปล่าอย่างแน่นอน ซึ่งมันไม่ใช่แต่ใกล้เคียง พอก้าวขึ้นกระต๊อบจึงจัดแจงนั่งหันหน้าไปทางลานหินขนาดใหญ่ มีภาพต้นไม้รูปร่างแปลกๆกลางลาน ถัดออกไปคือโรงงานเห็ดร้างซึ่งบัดนี้ ทอดตัวดำทะมึนเป็นเงาอยู่ในความมืด แสงดาวระยิบระยับมีแต่เสียงของความเงียบเข้าครอบงำ แสงไฟจากตัวบ้านที่คุณปาน และเจ้าตาลอยู่เบื้องหลัง ไกลออกไป 15 เมตร เป็นเพียงแสงสว่างทางเดียวที่มีให้เห็น นอกนั้นเริ่มถูกสีดำสนิทมืดมิดเข้าครอบคลุม และแล้ว Show Time !!!! จริงๆก็มาถึง หรือพูดให้ถูกคือ Time to play !!!!

ลมอ่อนๆที่เย็นสบายๆกลับกลายเป็นทวีความรุนแรงขึ้น กระต๊อบที่เรานั่งอยู่ติดรั้วอาณาเขตของที่อีกผืน ซึ่งเขาปลูกต้นมันสำปะหลังสูง เลยหลังคากระต๊อบ ต่างพากันลู่ไปตามแรงลมพอมองเห็นได้ในความมืดเบื้องหน้า ที่ลานหินเบื้องหน้าเราต้นไม้สูงๆรูปร่างประหลาดเริ่มโยกตัวไปมาตามแรงลม….มาแล้ว !!!! เอ็งตั้งสติให้ดี แต่ทว่า มันไม่ใช่จังหวะที่ลมพัดมันเหมือนจะก้าวเดินไปมา และมีเสียงหวีด….วี๊ดๆๆๆๆ ซึ่งใครก็อาจจะคิดว่าเป็นเสียงของลม….แต่ก็ไม่ใช่อีก เสียงนี้เราคุ้นดี เพราะเคยได้ยินมาก่อน มันคือเสียงหวีดร้องของเปรต เราเรียกสติ คืนมา อารธนา บารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์กวนอิมเป็นที่พึ่ง เริ่มบริกรรมคำว่า “พุธโธ ๆๆ”  กับด้วยอำนาจของ ศีล สมาธิ และ ปัญญาที่เราสั่งสมมาทุกชาติ ขอให้ผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปด้วยเถิด ได้ยินเสียงใครตอบมาว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว….เจ้าก็รู้นี่ว่า เขามาทดสอบ” “ปัง” อย่างแรงดังมาจากเบื้องหลังห่างไม่ถึง  2 ฟุต  ขนท้ายทอย และตลอดลำตัว ลุกชาเห่อขึ้นมา ดีที่คุมสติไว้ได้ จิตยังภาวนาคำว่าพุธโธ ไม่ขาด สติยังอยู่ครบ มันคือเสียงประตูที่ห้อยร่องแร่งอยู่ด้านหลัง ถูกลมตี  “ปัง” อีกที แล้วต้นไม้ประหลาดนั้นเริ่มเคลื่อนไหวในความมืด เอ หรือตาเราจะหลอน จึงแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เขาไปพร้อมทั้งบอกเขาไปว่า เดี๋ยวจะกรวดน้ำให้ ภาพหลอนของต้นไม้ประหลาดจึงสงบนิ่งให้เห็นเพียงลู่ไปตามแรงลม….เชื่อสิ ตอนมาถึง ห้าโมงเย็น ฟ้าโล่งอากาศดีมากไม่มีวี่แววของพายุ บัดนี้ทุ่มกว่าๆแล้ว ลมแรงขึ้น พร้อมเสียงหวีดหวิว ของต้นไม้ เหมือนฝนจะตกก็ไม่ใช่เพราะไม่มีเสียงฟ้าร้อง สายฟ้าแลบก็ไม่มี ลมอย่างเดียวเลย ก่อนที่จิตจะดิ่งเข้าสู่ทุติยฌาน  และเข้าฌานที่สี่  เพื่อจะดับสัญญา กับเวทนาทั้งหมดให้ได้  ก็มีความรู้สึกว่าใครนั่งอยู่เบื้องหลัง ในกระต๊อบ แล้วโผล่หน้าออกมาดู มีทารกน้อยอายุไม่ถึง 3 เดือนอยู่ในอก ผมยาวสลาย ดวงตากลมโตถลนออกนอกเบ้า….จิตเราขณะนั้นมันกลัวสุดขั้วหัวใจเหมือนถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายบางๆ จะหัวใจวายตายให้ได้ “ปัง” เสียงลมพัดประตูกระแทกขึ้นมา ใจมันอยากจะลุกขึ้น วิ่งหนีออกไปจากตรงนั้นเลย ครั้งนี้ยอมรับว่าเราเกือบจะสอบตก แต่ความกลัวสุดขั้วหัวใจ ได้กลับกลายมาเป็นความบ้า คิดในใจว่า “เอาเถอะ จะทดสอบอะไร ทำอะไร ก็ทำเถอะ….แต่ที่จะให้เราลุกจากที่นี่ก่อนเวลานั้น เรายอมไม่ได้ หากจะนั่งตายตรงนี้ก็ให้มันตายไป” แล้วเราก็แผ่เมตตาให้ผีแม่ลูกอ่อนที่นั่งอยู่เบื้องหลังเรา ขนลุกซู่ซ่ายังไม่หาย เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงสงบจิต ผ่อนคลายทุกอย่างปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ มีเพียงจิตที่ตั้งมั่นอยู่เท่านั้น  ลมพายุยังกระหน่ำรุนแรงเล่นไม่เลิก เมื่อแผ่เมตตาให้ทุกสรรพสัตว์ รวมทั้งจิตใจเราได้คลายจากความกลัว กลายเป็นเย็นเบาสบาย สงบนิ่งเกิดแสงสว่างโพลงขึ้นในดวงจิต  ขณะนั้นเหมือนจิตจะรวมตัวกัน สติจับอยู่กับลมหายใจเข้าออก จนลมหายใจหายขาดไป รู้สึกได้ว่าลมพายุกับเสียงหวีดหวิวที่น่ากลัวค่อยๆอ่อนแรงลง จนแทบจะคืนสู่สภาพเดิม เมื่อเราออกจากสมาธิ เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง กับสิบนาที  เราเดินกลับมาที่บ้าน มีเพียงลมอ่อนๆตามปกติ คุณตาลชะโงกส่งเสียงลงมาทัก แล้วแอบมากระซิบบอกเราขณะที่คุณปาน อาบน้ำมา “พี่ทำได้อย่างไร ขนาดตาลนั่งอยู่ที่บ้าน ได้ยินเสียงลมพายุ ยังขาสั่น พี่เก่งจริงๆ สักวันตาลจะทำอย่างพี่ให้ได้”  จากนั้นเราต่างก็แยกย้ายกันเข้านอน การได้นอนกลางป่ากลางดง มันมีแต่เสียงของธรรมชาติ เรากลับถือว่าเป็นโชคอย่างยิ่งที่ได้มาสัมผัสกับบรรยากาศที่หาได้ยาก กับมันเป็นประสบการณ์….อีกครั้งหนึ่งในชีวิตที่กลัว สุดขั้วหัวใจ

ป.ล. พลิกตำนาน…ของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ฉบับสมบูรณ์ กำลังจะออกเป็นรูปเล่ม จากปากคำบอกเล่าของหลวงปู่ทวด ที่เมตตา เราอย่างสูง หลวงปู่…เปิดเผยว่า เกิดอะไรขึ้นกับสามเณร คนที่ถือดอกมนทาสวรรค์ มาหาหลวงปู่ ร่างกายขันธ์ของทั้ง 2   อยู่ที่ไหน และพระองค์ที่ไปปรากฏที่มาเลเซีย นั้นใช่หลวงปู่ทวดหรือไม่ ที่ว่าหามร่างท่านไป น้ำเลือดน้ำหนองหยดที่ไหนให้ปักหมุดตรงนั้น ร่างนั้นใช่หลวงปู่ทวดหรือไม่?  หลวงปู่ถอนแล้ววิธีถอนทำอย่างไร? คือไม่อยู่แล้วไม่ปรารถนาพุทธภูมิแล้ว…จะถูกนำมาถ่ายทอด ทุกคำสนทนา กับเรา โดยแบ่งเล่มนี้เป็น 3 หมวด หมวดแรก พลิกตำนานหลวงปู่ทวด  หมวดที่ 2 ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว หมวดที่ 3 อาถรรพ์จันทร์โดดเดี่ยว 2 ในเล่มเดียวกัน ผลงานของอ. วารุณี พิทักษ์สินากร ล้วนๆ  วางรูปเล่มเมื่อไหร่ จะแจ้งให้แฟนๆได้สั่งจองเพราะจะพิมพ์จำนวนจำกัด