ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 55
- สิงหาคม 16, 2018
- ตอน พระเทวทัต

บทนี้จะขอพูดถึง พระเทวทัต ชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันดีแล้วทางพุทธศาสนา พูดง่ายๆว่า ชาวพุทธ ไม่มีใครเลยที่จะไม่รู้จัก พระเทวทัต จัดเป็น 1 ใน 5 คนของพุทธศาสนา ที่มีอดีตที่ทำให้พระแม่ธรณี ทรงพระพิโรธในความประพฤติผิดอย่างหนัก ถึงกับต้องเอาตัวลงไปอบรม สั่งสอน
ผู้โชคดีที่ได้รับเชิญจากพระแม่ธรณีทั้ง 5 ท่านนี้ มีรายชื่อดังนี้
- พระเทวทัต ที่ทำอนันตริยกรรม ถึง 2 ใน 5 ข้อ คือทำให้พระตถาคตถึงกับห้อเลือด ฐานพยายามลอบปลงชีวิตกันเลย กับยุแยงสงฆ์ให้แตกแยกกัน ( ต้องมากกว่า 4 รูปขึ้นไป นี่ถึง 500 รูป )
- นันทมานพ ผู้ก่อกรรมอย่างหนักไว้กับพระภิกษุณี พระนางอุบลวรรณาเถรี
- นันทยักษ์ ผู้ก่ออนันตริยกรรม 1 ใน 5 ข้อ ที่พยายามจะฆ่าพระสารีบุตร ซึ่งเป็นอรหันต์สาวกผู้เลิศด้วยปัญญาของพระตถาคต ในขณะที่กำลังอยู่ใน นิโรธสมาบัติ ด้วยการเอาตระบองหมายฟาดศีรษะพระสารีบุตร ด้วยเจตนาจะฆ่าให้ตาย กรรมนั้นหนักมาก แม่ธรณีแยกออกกลืนร่างนันทยักษ์ หายไปชั่วพริบตา
- นางจิญจมาณวิกา หญิงผู้นี้ได้ผูกใจเจ็บแค้น จองเวร กับพระตถาคตมาหลายชาติ ตามมาเป็นตัวทดสอบครูใหญ่ กับเจตนาจะขวางทางบุญพระตถาคต มามากกว่า 3 ชาติ ครั้งแรกเมื่อพระตถาคตเกิดเป็นลูกกษัตริย์ ในชมพูทวีปชาติหนึ่ง กษัตริย์เมืองนี้มี มเหสี 2 พระองค์ พระตถาคตเป็นโอรสของพระมเหสี องค์แรก พระมเหสีองค์ที่ 2 มาลักลอบชวนให้พระองค์เสพเมถุนด้วย ด้วยนิสัยของพระโพธิสัตว์ จึงปฏิเสธ ทำให้พระมเหสี เกรี้ยวโกรธ จึงแสร้งทำร้ายทุบตีร่างกายตนเอง แล้วทำเป็นนอนซมด้วยพิษไข้ กับทูลบอกพระราชาว่า ถูกพระโอรส ข่มเหง พระราชาโกรธมากด้วยฤทธิ์ตันหาราคะ สั่งให้นำราชบุตร ไปทิ้งเหว นาคได้มาช่วยอุ้มราชบุตรไว้ แล้วนำลงพิภพใต้บาดาล แบ่งราชสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง เรื่องนี้ยังชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ภพภูมิของนาคนั้นเขามีมาแต่สมัยก่อนพระพุทธกาลเสียอีก กับแสดงให้เห็นว่า พระตถาคตเกี่ยวพันกับนาคมานาน แม้เกิดเป็นนาคก็เคย เวลาผ่านไปไม่นาน จึงคืนสมบัติให้นาคแล้วขอกลับขึ้นมาบวชเป็นนักพรต อยู่ป่า ปลีกวิเวกอยู่ตามลำพัง จนวันหนึ่งพรานป่ามาพบเข้า กลับไปทูลบอกพระราชา พระราชาจึงเสด็จออกมาเชิญให้กลับไปครองเมือง แต่พระโพธิสัตว์ ปฏิเสธ พระราชาจึงซักไซ้ถามความจริง ถึงเรื่องที่ผ่านมา เมื่อทรงรู้ความจริง จึงสั่งให้ทหาร จับมเหสีองค์ที่ 2 ไปโยนเหว เป็นเหตุให้นางผูกจิตอาฆาต ตามมาเกิดในชาติที่สร้างบารมีสูงสุดเป็นชาติสุดท้ายก่อนไปเกิดเป็นพระตถาคต คือ นางไปเกิดเป็นนางอมิตตา ภรรยาของพราหมณ์ชูชก เป็นชาติที่พระองค์ทรงสร้างทานบารมี ที่ไม่มีใครบริจาคลูกให้แก่กันได้ จากชาตินี้ที่เป็นพระเวสสันดร พระตถาคตได้ไปเกิดเป็นชาติสุดท้าย ในนาม เจ้าชายสิทธัตถะ นางตามมาเกิดเป็นนางจิญจมาณวิกา แล้วถูกพวกเดียรถีย์ ยุยงนางให้หาทางทำลายพระตถาคตให้เสื่อม ด้วยการไปกล่าวหาว่าพระตถาคต ทำให้ท้อง ให้มารับผิดชอบ เรื่องนี้ร้อนถึงท่านท้าวสักกเทวราช เบื้องบน ที่นั่งของท้าวสักกเทวราช ร้อนไปหมด จึงทรงเสด็จลงมาว่าความเองเลย บางตำนาน ก็ว่าพระอินทร์ทนไม่ได้ ลงมาช่วย โดยปลอมเป็นหนู เข้าไปกัดเชือกที่มัดไม้ที่กลึงเป็นรูปนูนแล้วผูกไว้ที่ท้อง ดูเหมือนคนท้อง พระพายได้ช่วยบันดาลให้ลมพัดชายเสื้อเปิดขึ้นไม้ร่วงลงมากระแทกเท้าเจ็บอีก ถูกชาวเมืองถ่มน้ำลายใส่ขับไล่ เตลิดเปิดเปิง เสียหมาเสียมวยไปอีกชาติ พอลับตาพระตถาคต พระแม่ธรณี เลยเชิญตัวไปอบรม ตกลงอเวจีมหานรก จะเลิกเล่นหรือไม่เลิก ก็หมดสิทธิแล้วเพราะพระตถาคตก็ไม่มาเกิดมาเป็นอะไรอีกแล้ว ทรงดับหมดแล้ว แต่นางคงยังไม่ดับ
- คนที่ 5 คือ พระเจ้าสุปปพุทธะ เป็น พ่อของพระเทวทัต กับพระนางยโสธรา
ไม่พอใจอย่างมาก ที่เห็นพระองค์ทิ้งลูกสาว กับหลานออกบวช เมื่อพระเทวทัต ลูกชายอีกคน ออกบวชตาม ไม่ว่าพระเทวทัตจะทำอะไร ก็แพ้พระตถาคตลอด เลยขอเล่นคืน โดยชักชวนทหาร พากันไปตั้งวงดื่มสุรายาเมา ขวางทางออกบิณฑบาต ของพระตถาคต กับอรหันต์ สาวกทั้งหมด แบบปิดถนนเลย ทำไม่รู้ไม่ชี้ แม้พระองค์จะเตือนถึง 3 ครั้ง ยังไม่ลุกเปิดทางให้ ผลคือ วันนั้น พระตถาคต กับอรหันต์ทุกรูป อดข้าวไปหนึ่งวัน เมื่อมีพระสาวก มาทูลถามว่า พระเจ้าสุปปพุทธะ จะมีโทษสถานใด จึงเอ่ยไปว่า ใน 7 วัน จะโดนธรณีสูบ ที่ประตูประสาทชั้นที่หนึ่ง เมื่อข่าวนี้ ไปถึงหู พระเจ้าสุปปพุทธะ
แทนที่จะไดสำนึกมาขอขมา กลับจะเล่นไม่เลิก ด้วยทุกคนต่างทราบกันดีว่า พระองค์ ตรัสคำไหน ไม่เคยมี 2 เป็นเช่นนั้นตลอด ยังคิดจะลองดี โดยวางแผนว่า ครั้งนี้แหละเป็นได้เสียชื่อแน่นอน เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับเรา จึงวางแผนจะหนีขึ้นไปอยู่บนประสาท ชั้น 7 ตลอด 7 วัน 7 คืนก็เท่านั้น จะไม่ลงมาเหยียบแผ่นดินที่ ชั้น 1 เลย ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย กับให้จัดยามรูปร่างกำยำ ไว้ที่ประตูประสาท ทุกชั้น กำชับว่า หากมีสาเหตุอันใดก็ตาม ที่ทำให้เราต้องลงมาก่อนพ้นกำหนด ให้หยุดเรา ทุบตีกระชากลากเรากลับขึ้นไปชั้น 7 อย่าให้เราลงมาได้ แผนดีมาก เรื่องจริงเรื่องนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงแรงกรรม ว่า “ ใครเล่าจะใหญ่กว่ากรรม ” กรรมที่ทำให้พระตถาคต ต้องอดอาหารหนึ่งมื้อ ชี้ให้เห็นอีก ว่า ด้วยพระวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครเสมอเหมือน เมื่อกล่าวไปฉันท์ใดย่อมเป็นฉันท์นั้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงเล็ดรอดไปได้ “ แรงใดจะเท่าแรงกรรมนั้นไม่มี ”
สังวรกันไว้ มนุษย์เอ๋ย …. ใครที่ลบหลู่ดูหมิ่น พูดดูถูกพระอัครสาวกของพระองค์ก็ดี จาบจ้วงลบหลู่พระตถาคตในทางใดทางหนึ่งก็ดี ต่อหน้าหรือลับหลัง แม้นในโนกรรม คำว่ากรรม ของ มโนกรรม ได้ระบุให้เช็ดเป็นเด่นชัดว่า โดนเหมือนกัน สวรรค์ นรก มีหูมีตา
ตามตอนจบ ในบทต่อไป