ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 64

เมื่อเราทั้งหมดกลับถึงปราสาทมืด เดินผ่านทางเข้าใต้ตึกชั้นล่างผ่านคุณแม่ของคุณ ท. ที่นั่งอยู่บน รถเข็น อาหาร ของกินขบเคี้ยวทั้งหมด รวมดอกไม้ธูปเทียนถูกจัดใส่พานวางเต็มระเบียงตึกชั้น 2 เรากับคุณ ท. อยู่ในชุดขาว  เมื่อพร้อมเราก็เข้าสมาธิทำพิธี แสงแดดยามเช้าเริ่มแก่กล้าขึ้น ต่ำจากระเบียงชั้น 2 ลงไปเป็น ต้นไม้ใหญ่ 2ต้นแผ่กิ่งก้านสาขา ไม่ห่างจากโคนไม้ เป็นอาคารเล็กๆเปิดโล่งลักษณะเหมือนโรงรถเก่า ยามนี้ถูกอัดไปด้วยถังพลาสติกบ้างเครื่องมือซ่อมรถ อุปกรณ์เครื่องใช้เก่าๆ ที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทิ้งหรือจะทำอะไรกับมัน ไปทางซ้ายมือของบ้านเป็นตุ๋มใส่น้ำฝนเรียงรายกันไปอย่างมากเกินขนาด คุณ ท. มาบอกทีหลังว่า ชาวเมืองบางคนเรียกบ้านหนูว่า “บ้านร้อยตุ่ม” เราหลับตาส่งกระแสแห่งเมตตา ไปทั่วปริมณฑล วิญญาณต่างๆ เขายอมรับ เฉพาะกับเรา แต่กับครอบครัวนี้ มันเป็นคำสาป มันเป็นแรงอาฆาต ที่มีต่อกันมาหลายชาติภพ ช่วงนั้น เรายังไม่ได้เป็นครู สอนสมาธิ บารมีเรายังไม่มากพอที่จะส่งวิญญาณให้ใครได้ ยังไม่เคยคุย หรือสื่อกับหลวงปู่หลวงตาองค์ไหนได้ มีเพียงแผ่เมตตา ให้เขาเท่านั้น

ขณะที่เสร็จพิธีเซ่นไหว้ แล้วนั้น เราได้นั่งทานข้าวกันสองคนตรงระเบียงนั้นเลย  คุณ ท. หาโอกาสมานานแล้วได้ตั้งคำถามที่ค้างคาใจอยู่ อยากถามจานว่า จานจับอะไรบางอย่างได้ไหม ว่า มีใครโดนกักขังอยู่ในบ้านนี้บ้าง” “หมายถึงวิญญาณ ใช่ไหม? ” “จานรู้… !!!!!!จานเห็นที่ไหน”  เธออุทานออกมาสุดเสียง ทางขึ้นชั้นสองใต้บันได ชั้นหนึ่ง …ว่าจะถามเธออยู่เหมือนกันแต่ไม่แน่ใจลองเล่าไปซิ” เธอถอนหายใจ… “บรรพบุรุษของหนูเอง ก็เกี่ยวกับการแย่งมรดก นี่แหละ ทำของใส่กัน แล้วพลาดท่าเสียทีอย่างไรไม่ทราบ ถูกเอาไปขังไว้ห้องใต้บันได แล้วโบกปูนทับขังทั้งเป็นเลย” “…โธ่เอ๋ย” เราครางออกมาด้วยความสลด “เขายังอยู่ใช่ไหม จาน?” “ใช่ …ทำไมไม่ขุดเอาเขาออกมาเผาศพทำพิธีทุกอย่างให้ถูกต้อง เขาจะได้ หลุดออกมาจากตรงนั้น เขาคงทรมานมาก” “พวกหนูไม่อยากเป็นคดีความต้องมาสอบสวน หรือรื้อคดีอะไรขึ้นมาให้วุ่นวายอีก เลยปล่อยไปเลยตามเลย” “ไม่หรอก… เพราะคงหมดอายุคดีความนานไปแล้วนี่ …กี่ปีมาแล้วล่ะ” “ใช่ …เกือบ 50 ปี แล้วค่ะ หนูจะลองบอกพี่ชายดู”

“ทิ้งสำรับกับข้าว อาหารไว้นี่ก่อน  แล้วพาเราไปดูบริเวณบ้าน ให้ทั่ว ถ้าเสร็จวันนี้ กับถ้ามีตั๋ว รถกลับเข้ากรุงเทพฯ เย็นนี้ พาเราไปส่งที่ขนส่งนะ แต่ถ้าไม่มีตั๋วเราอยู่ต่อได้” “ค่ะ” คุณ ท. พาเราเดินไปทางหลังบ้านซึ่งอยู่ในเนื้อที่ 7 ไร่ ที่เป็นป่าล้วนๆ มีเถาวัลย์ ขึ้นเกะกะ มีพรรณไม้แปลกตาหลายชนิด ที่เธอบอกว่าปลูกมากับมือ จนมาถึงท้ายบ้าน ซึ่งมีรั้ว จนดูเหมือนกำแพงสูงกว่า 6 ฟุตไปตลอดแนว  อีกด้านของรั้วเป็นโรงเรียน  เรือนไม้เก่าๆ ปรากฏขึ้นในสายตา เรือนไม้นี้ยืนตัวสูง แต่ถูกปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อยซึ่งกลืนฝาด้านหนึ่งหายไป ใต้ถุนหาสภาพไม่เจอเพราะต้นไม้ขึ้นคลุมไปหมด บันไดทางขึ้นบ้านน่ากลัวมากเพราะผุพังไปเกือบหมด ซี่บันได ห่างกันเราพยายามเกาะราวบันไดเพื่อขึ้นสู่ตัวบ้าน เพราะน้ำหนักตัวน้อยจึงขึ้นได้ง่ายคุณ ท. ตามขึ้นมาด้วยความลำบาก ขั้นบันไดบางขั้น หักพรวดลงไปคาเท้าเธอ

เมื่อขึ้นสู่ตัวเรือนเป็นระเบียงยาว ก่อนจะถึงห้องนอนบรรยากาศของบ้านทึมๆ จับได้ไม่ยาก ว่ามีผู้อาศัยอยู่แล้ว แอบมองมายังเราด้วยอาการกลัวๆกล้าๆ เรารีบแผ่เมตตาให้ แต่ต้องสะดุดตามองดูจานอาหารที่ว่างเปล่าที่ตั้งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กๆ เป็นจานสังกะสี ที่ว่างเปล่ามีช้อนอลูมิเนียมด้ามยาววางค้างอยู่บนจานอย่างเรียบร้อย “หนูมักจะเอาอาหารมาวางให้ เจ้าที่ที่บ้านนี้ค่ะ แมวคงย่องมาทานเกลี้ยงเลย” “แมวเหรอ” เราถามเบาๆ เพราะตามปกติวิสัยถ้าแมวมากิน ไม่ว่า  หมา แมว หรือหนู จาน ช้อน จะต้องกระเด็นตกลงมาจากม้าที่ตั้งคนละทิศละทางตามประสาสัตว์ แต่นี่ทุกอย่างคงสภาพ ตั้งอยู่ที่เดิม “เคยมีเด็กนักเรียนชายหนีเรียน โดดข้ามกำแพงจากฝั่งตรงข้ามมาแอบสุ่มสูบบุหรี่ หนีเรียนมาที่บ้านนี้กันบ่อยๆ ในตอนแรกๆ มีครั้งหนึ่ง วงแตกเผ่นหนีกันหูตาแหก คงเจอดีเข้าแล้ว” “เล่าซิ ที่นี่มีดี อะไร” “เป็นวิญญาณ …ของเจ้าขุนมูลนาย แต่งตัวแบบสมัย ต้นราชวงษ์ แต่มีหลายดวงวิญญาณ อาศัยอยู่ในบ้านร้างแห่งนี้ที่เราเห็นอาจเป็นนางสนมกำนัล ที่ตามกันมา” เราพากันคลานลงมาจากบันไดผุๆนั้นอย่างยากเย็น เราก้มลงกรวดน้ำให้เจ้าที่เจ้าทาง ที่ปลายบันได แล้วเดินลุยป่า ฝ่าไม้พุ่มเถาวัลย์ ที่ค่อนข้างหนา โดยคุณ ท. เดินแผ้วทางนำหน้าไป ป่ามันทึบกับมีบรรยากาศ ของป่าเต็มร้อย แม้จะมีเนื้อที่แค่ 7 ไร่ ลมพัดโชยตลอดเวลา มีรอยทางเดินเล็กๆ ปรากฏให้เห็นแม้จะถูกปกคลุมไปเป็นส่วนมาก มาถึงจุดหนึ่งกลางป่า มีบ่อน้ำย่อมๆ ปรากฏขึ้นมาให้เห็น ตรงจุดนี้ของที่มันแรงมาก ทำเราอึดอัดจนหายใจไม่ออก … หนึ่งจุดที่ผิดหลักฮวงจุ้ยอย่างมาก เรามองดูทิศทางที่ตั้งของบ่อน้ำเพื่อความแน่ใจ ใช่แล้ว ความรู้สึกแรงที่เราได้รับไม่ได้ผิดกับหลักวิชาการ การปรับแต่งฮวงจุ้ยตรงนี้ มีทางเดียวต้องถมบ่อนี้เสีย ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปได้เพราะ บ่อไม่กว้างมากนัก เดินมาได้อีกสัก 20 นาที เธอพามาหยุดเดินใต้กอกล้วยดกทึบใบใหญ่ ลำต้นเป็นมันขลับยืดตัวสูงเกินต้นกล้วยธรรมดา “นางตานี อยู่ที่กอกล้วยนี้ จาน แต่ไม่รู้ต้นไหน เพราะเป็นกล้วยตานีทั้งกอ” ขนเราลุกซู่ชูชันขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ที่เธอเคยเล่าว่า ออกไปฉุดขาฉุดแข้ง คนขับรถที่มาขออาศัยค้างแรม ใต้ร่มเงาของกอกล้วย ลมเย็นๆพัดไปมาสบายเหลือจะกล่าว สายตาเราไปปะทะกับปลีกล้วยประหลาดที่เกิดมาในชีวิตนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน ปลีกล้วยปลีหนึ่งยาวย้วยห้อยลงมาจนเกือบจดดิน ยาวเกือบสองเมตร อีกเพียง ฟุตเดียวตัวปลีกล้วยจะแตะพื้นดิน ส่วนยาวนั้นเหมือนงวงที่เล็กผอมขนาดข้อมือเราเป็นปมปุ่มเช่นปลีกล้วยธรรมดา ยามนี้ปัดแกว่งเบาๆ ไปตามสายลม ลำต้นโยกไปมาจากกอกล้วยที่เบียดกันไปมา ที่น่าประหลาดใจ คือที่ดินบริเวณนี้ที่ปลีกล้วยชี้ลง ดินส่วนนั้นมีเมือกหรืออะไรบางอย่างที่อธิบายยาก เหมือนอาหารเก่าที่ใครสำรอกออกมาก มีเศษอาหารที่อธิบายไม่ได้ ว่า อะไร แต่ขณะนี้มีแมลงวันฝูงใหญ่ตอมอยู่  หากแมลงตอมมันหมายถึงต้องเป็นของคาว เราสะบัดหน้าไม่อยากคิดอะไรต่อไป รีบกรวดน้ำให้แม่ตานี เดินกลับมาบริเวณตัวตึกที่พัก ตุ่มน้ำจำนวนนับไม่ได้อยู่ข้างตัวตึก  “สมัยก่อน ครอบครัวหนู ใช้น้ำฝนกัน ทั้งกินทั้งอาบ กับตอนนี้แม่ไม่ยอมขายตุ่ม แม้แต่ใบเดียว” เราคิดในใจว่า ก็คงเช่นกับของชิ้นอื่นๆที่แม่เก็บไว้ไม่ยอมทิ้ง จนบ้านผิดฮวงจุ้ย ยากต่อการแก้ไข

เราย้อนกลับไปชั้น 2 ช่วยกันเก็บอาหาร จาน ชาม มันเป็นเวลา เลยเที่ยงไปแล้วพอดี เกือบบ่ายสองแล้ว เธอได้ส่งซองขาวค่าจ้างที่ตกลงกันให้เรา แล้วพาเราไปส่งที่สถานีขนส่ง

เวลาผ่านมาหลายปี เราเชื่อว่าถ้าได้กลับไปที่ ปราสาทมืดอีกหน บารมีที่เต็มแล้วของเราสามารถจะปลดทุกดวงวิญญาณ ได้อย่างไม่มีปัญหา