ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 71

จากตำนานของพระป่า ผู้ใช้ชีวิตสัญจรจากป่าไปสู่อีกป่า เป็นตำนานที่นับไม่ถ้วนรวมทั้งที่เอาชีวิตไปทิ้งไว้เป็นผีเฝ้าป่าก็มีมาก  เป็นการแสวงหาหนทางเข้าสู่มรรคผลนิพพานกันด้วยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันกันทีเดียว แต่จะเชื่อหรือไม่พระเหล่านี้มีจำนวนไม่น้อย ที่บุกป่าฝ่าอาถรรพ์ร้อยแปดพันเก้าในป่า ไปด้วยเจตนาอื่น เช่นแสวงหาเหล็กไหล แสวงหาขุมทรัพย์ แทนที่จะแสวงหาตนเอง จึงจบชีวิตกันอย่างสมเพชเวทนา พระจำนวนไม่น้อยที่ถูกเสือกัดกิน แล้ววิญญาณของพระ ก็สิงสู่อยู่ในเสือ เป็นการรับช่วง เชื่อกันว่าหากเสือสมิงตัวไหนฆ่าคน กินคนได้ครบตามจำนวนที่ครูบาอาจารย์ของตนระบุมา คนล่าสุดที่ครบตามจำนวน จะมาสืบทอดเป็นเสือสมิงต่อ วิญญาณเก่าก็จะหลุดเป็นอิสระจากการเที่ยวฆ่าคนเป็นอาหาร แต่จะหลุดตรงลงนรกไปทันที เป็นการเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิที่ดีกว่าเก่า คือไม่ต้องฆ่าต่อไป แต่ไปรับกรรมหนักในนรกแทน ถ้าเผลอไปฆ่าพระ กินพระ แน่นอน อนันตริยกรรมเกิดขึ้นแล้ว หมายถึงอเวจีนรก เป็นที่หมาย มีจากตำนานเสือสมิง มีพระบางรูปที่โดนรับช่วงเป็นเสือสมิง ต้องฆ่าคนกินคนให้ครบจำนวน จึงจะหลุดจากเวรจากกรรมตรงนี้ได้ ท้ายสุดเมื่อมีพรานกลุ่มหนึ่งไปพบพระรูปนี้ในวัดร้างแห่งหนึ่งกลางป่าลึก ทั้งวัดมีพระรูปนี้อยู่เพียงรูปเดียว  พระได้มอบกระสุนเงินให้พรานแล้วกำชับพรานว่า คืนนี้ถ้ามีเสือออกมาจะเอาชีวิตพรานกลุ่มนี้แน่นอน เสือนั้นเป็นเสือผี หรือเสือสมิงที่พวกเขาตามล่าอยู่ กระสุนปืนธรรมดา ไม่มีทางฆ่าได้ ให้ใช้กระสุนเงินนี้ที่อาตมามอบให้ฆ่ามัน มันจึงจะตาย

คืนนั้นพรานกลุ่มนี้เข้าไปพักในอุโบสถเก่าๆ ต่างปิดหน้าต่างประตูกันอย่างหนาแน่น กลางดึกสงัดอากาศเย็นยะเยือก ป่าเงียบกริบอย่างผิดสังเกต พรานป่าทั้งสามจับความผิดปกติได้อย่างไม่ยาก ต่างมีอาการสะพรึงกลัวอย่างบรรยายไม่ได้ แต่ก็ต้องการจะฆ่าเสือตัวนี้ให้ได้ตามใบสั่ง เสือหาทางไม่ได้ กระโจนขึ้นหลังคาอุโบสถ ตะกายจนเปิดทางเป็นช่องใหญ่พอที่จะลงมาฆ่าพรานทั้งสามให้ได้ด้วยความหิวโหย พรานได้ใช้กระสุนเงินที่พระรูปนั้นให้มา จนได้จังหวะเหมาะยิงเข้าตำแหน่งสีข้างเสือ สร้างความสะดุ้ง ร้องโอดโอย ชนประตูทะลุออกนอกอุโบสถหนีไปได้ พรานทั้งสามรอจนรุ่งเช้าจึงตามรอยเลือดเสือไป ซึ่งตามปกติแล้วสมิงตัวนี้ถูกพรานล่ามาหลายปีหลายคน แต่ไม่เคยทำร้ายมันได้ เพราะยิงมันไม่เข้า พรานบางคนประมาท ไม่เชื่อเรื่องเสือสมิง เพราะเป็นพรานหัวใหม่ คนรุ่นใหม่  พรานทั้งสามตามรอยเลือดเสือตัวนั้นไป เห็นตรงกลับไปยังกุฏิของพระรูปนั้น กระไดไม้สองขั้นแรก มีรอยเลือดสดๆ เรี่ยราดอยู่ เมื่อทุกคนก้าวขึ้นกุฏิ ต่างก็ยืนกันตัวแข็งขนลุกซู่ชูชันต่อภาพที่ปรากฏ คือพระแก่รูปนั้น นอนตะแคง ผ้าเหลืองเก่าๆ คลุมร่างอยู่ ปลายเท้ามีหางเสือลาดพาดกลอยโผล่ออกมาพ้นชายจีวร และท่านขาดใจตายแล้ว มีเศษกระดาษวางข้างๆ มีข้อความว่า  “ อาตมาขอบใจ ที่ช่วยส่งอาตมาให้พ้นเวรพ้นกรรมจากการฆ่าเสียที ” นี่เป็นอาถรรพ์ของเดริฉานวิชา เข้ากันง่ายๆ แต่ออกยาก  แม้ล่วงลับดับขันธ์ไปแล้วยังไม่จบ ใช่ว่าจะจบกันง่ายๆ

เรื่องของหลวงปู่ เจียม อติสโย  พระคุณเจ้าได้บวชเรียนมา 47 พรรษา อายุรวมได้ 96 ปี ละขันธ์แล้ว  เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2549 ด้วยโรคไตวาย เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ของ จ. สุรินทร์ มีลูกศิษย์ลูกหามากมายเป็นชาวกัมพูชา เป็นอีกผู้หนึ่งที่เคยสยบเสือสมิงมาก่อน จากประสบการณ์ที่เคยธุดงค์ป่ามาถึง 13 ปี ยังเก่งทางวิชาอาคม ถอนคุณไสย ไล่ผี ช่วยเหลือชาวบ้าน มานับไม่ได้ เป็นอีกผู้หนึ่งที่เจอเสือสมิงมาก่อน จนได้ชื่อว่า หลวงปู่ผู้สยบเสือสมิง …. ยังมีชื่อเสียงด้านวิปัสสนากรรมฐาน มีวิชาอาคม ยังเป็นพระนักพัฒนาได้ช่วยสร้างวัด 2 แห่ง สร้างสถานีอนามัยที่บ้านหนองยาว สร้างศาลาประชาคม 21 แห่ง จนได้รับพระราชทานสมณศักดิ์  เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ พระครูอุดมวรเวทย์

จากคำบอกเล่าของ พระอาจารย์ศุภเลิศ ศิริวัลโณ เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องนี้ ออกสู่สายตา อ.ศุภเลิศ ได้ออกธุดงค์ไปตามป่าเขา พนมดงรัก ที่ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อเดินทางต่อไปยังป่านครวัต แล้วตั้งใจจะพักแรมค้างคืนปักกลดกันในป่าบนเขา  แห่งวัดป่าอรัญญิการาม จ. อุบลฯ ท่านเล่าว่าตอนนั้น อาตมาออกธุดงค์ไปกับหลวงปู่เพี้ยน ซึ่งเป็นครูสอนวิปัสสนากรรมฐาน ให้ออกมาปักกลดหาประสบการณ์กันในป่าดิบกันจริงๆ เป็นครั้งแรก ไปกันทั้งหมด 3 รูป  บ่ายวันนั้นไปเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ริมธารน้ำเล็กๆ เหมาะแก่การปักกลด หลวงปู่เพี้ยน จึงบอกให้พักแรมปักกลดเจริญภาวนากันที่นี่ในคืนนี้  พอตกเย็นเกือบจะแสงสุดท้ายของตะวัน ได้มีพระภิกษุวัยกลางคนแล้วรูปหนึ่ง ซึ่งธุดงค์เดี่ยว มาตามลำพัง  เพียงมองดูลักษณะท่าทางท่านแล้ว บอกได้เลยว่าเป็นผู้ที่มีบุญวาสนามาก รวมทั้งวิชาอาคมในตัวคงแก่กล้ามิใช่น้อย  ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าออกธุดงค์เดี่ยวมาในป่าตามลำพังเช่นนี้ พระรูปนั้นเดินตรงไปที่กลดของหลวงปู่เพี้ยน สนทนากัน อาตมาจึงทราบชื่อ ภายหลังว่า ชื่อ หลวงพ่อเจียม ( ในขณะนั้น ) อยู่ จ.สุรินทร์ อาตมายังไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร  แล้วท่านก็กางกลดอยู่ร่วมด้วยกับคณะของอาตมา พอพลบค่ำเราต่างพากันสรงน้ำที่ริมห้วย เดินจงกลม แล้วแยกย้ายกันเข้ากลดเพื่อเข้าวิปัสสนากรรมฐาน พอตกดึก เป็นที่น่าแปลกใจมากเพราะต้นไม้รอบๆบริเวณที่พักช่างเงียบสงัดอย่างน่าผิดสังเกต นกกลางคืน แมลงกลางคืน เสียงเก้ง เสียกวาง เสียงกบเขียด หายไปไหนกันหมด  ไม่มีเสียงใดๆมารบกวนเลย อาตามาจึงเรียนถามหลวงปู่เพี้ยน ซึ่งปักกลดอยู่ข้างๆ ถามถึงความผิดปกติอันนี้  หลวงปู่เพี้ยน จึงตอบว่า “ เรื่องนี้เป็นเรื่องของธรรมชาติ ความปกติ หรือไม่ปกติ มันเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปสนใจมันเลย ตั้งหน้า ตั้งใจภาวนาต่อไป  บำเพ็ญ ภาวนาของเราให้ได้ผลที่สุดก็แล้วกัน ได้ยินเสียงอะไรอย่าไปสนใจมันทั้งนั้น กับอย่าออกนอกกลดยามดึกดื่นโดยเด็ดขาดถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ” อาตมารับคำท่านแล้วไม่ถามอะไรท่านอีก นั่งหลับตาจำศีลภาวนาตามที่ได้ร่ำเรียนมาต่อไป พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมา มันดังแว่วมาก่อนตอนแรก แล้วค่อยๆดังใกล้เข้ามา  แล้วใกล้เข้ามาทุกขณะ  เป็นเสียงลูกวัว ร้องดังแอ๊ะ ๆๆๆ แม้หลวงปู่เพี้ยนจะบอกไม่ให้สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น  แต่ว่าจิตใจตอนนั้นมันไม่สงบซะแล้ว  ทำสมาธิต่อไปอย่างไรไม่ได้ผล จนเสียงลูกวัวที่ร้อง แอ๊ะๆๆ นั้นมาดังอยู่เบี้องหน้ากลด และมายืนอยู่หน้ากลด อาตมาจึงลืมตาขึ้น  อดสงสัยไม่ได้ว่าลูกวัวมาจากไหน? แม่มันอยู่ไหน?  ทำไมไม่อยู่กับแม่มัน? หรือแม่มันจะมีอันตรายถูกเสือร้ายที่มีอยู่มากมายแถวนั้นคาบเอาไปกินซะแล้ว อาตมากำลังจะลุกขึ้นออกไปหาลูกวัวตัวนั้นอยู่แล้ว เพราะสงสารมันที่พลัดพรากจากแม่หลงทางมา พลันก็ได้ยินหลวงพ่อ เจียม ดังขึ้นในโสตว่า “ ทุกรูปอย่าออกนอกกลดนะ อย่าไปสนใจสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าจะมีอันตราย ” อาตมาถึงกับงุนงงที่ได้ยินเสียงหลวงพ่อเจียม เพราะไม่เคยร่ำเรียน หรือรู้วิชา เสียงในโสตสัมผัสมาก่อน แต่ทำไมหลวงพ่อเจียม จึงส่งเสียงมาให้ได้ยินได้ ทั้งๆที่กลดของหลวงพ่อเจียมอยู่ห่างจากกลดอาตมามาก ไม่สามารถรู้เห็นความเป็นไปในกลดของอาตมาได้ แต่รับรู้ภาวะจิตอาตมาได้อย่างดี แล้วส่งเสียงมาเตือน  แสดงว่าหลวงพ่อเจียม ไม่ใช่พระธรรมดาอย่างอาตมา แต่วิชาอาคมอยู่ในขั้นสูงทีเดียว อาตมาจึงได้แต่นั่งมองดูลูกวัวอยู่อย่างนั้น  แต่แล้วก็ต้องตกใจ เพราะเห็นกับตาว่า ลูกวัวได้กรอกตาอย่างมีประกาย มองดูพระรูปนั้น รูปนี้ ด้วยสายตาแวววาว ประสงค์ร้าย เพียงเห็นแค่นี้อาตมาก็รู้เลยว่ามันไม่ใช่ลูกวัวธรรมดาๆ เสียแล้ว  แต่จะต้องเป็นตัวอะไรสักอย่างแน่นอน ที่มีอันตรายมากด้วย  มิเช่นนั้นหลวงพ่อเจียม คงไม่ส่งเสียงมาทางโสตให้พระทุกรูปรู้ แม้กระทั่งหลวงพ่อเพี้ยน พระอาจารย์ของอาตมายังต้องปฏิบัติตาม  เมื่อยังเห็นพระทุกรูปนั่งอยู่กับที่ ลูกวัวยิ่งส่งเสียงร้องดังรบกวนยิ่ง ขึ้นเรื่อยๆ  หลวงปู่ เจียมจึงร้องขึ้นว่า “ เออ เอ็งไปซะเถิด ที่นี่ไม่มีอาหารสำหรับเอ็งหรอก อย่ามารบกวนให้เสียสมาธิเลย นอกจากจะหิวแล้วยังจะเป็นบาปติดตัวเอ็งไปนะ ”  เท่านั้นเองลูกวัวตัวนั้นก็ร้องคำรามก้องดังสนั่นป่า แล้วกลายร่างเป็นเสือขนาดใหญ่เขี้ยวแหลมคมยาวยื่นมานอกปาก ขนาดลำตัวของมันใหญ่กว่าลูกม้าแรกเกิดเกือบ 3 เท่าตัว กลิ่นสาบสางบางอย่างตลบฟุ้ง มันเดินเยื้องย่างกรายมายังกลดของกลุ่มพระ “ อย่าลุกขึ้น อย่าลุกขึ้น ไม่ต้องกลัว ” เสียงหลวงพ่อเจียมดังขึ้นในโสตอีก  อาตมาเลยต้องนั่งตัวสั่นอยู่ในกลดกับที่ พยายามควบคุมสติตนเองอย่างยากเย็น พอเสือร้ายได้จังหวะก็กระโจนเข้าใส่  แต่ได้มีลมกลุ่มหนึ่งที่กระโชกมาแรงมากเข้าปะทะกับตัวเสือ จนเสือร้ายกระดอนกลับ ล้มลุกคลุกคลานกลิ้งไปกับพื้น  พอตั้งหลักได้ ก็ลุกขึ้นกระโจนเข้าใส่กลดพวกเราอีก หมายเด็ดชีพของพระรูปใดรูปหนึ่งมาเป็นอาหาร ก็มีลมแรงกระโชกปะทะร่างเสือ ให้กระเด็นกลับล้มกลิ้งออกไปอีก  พอลุกขึ้นมาอีก ลมก็ปะทะมันให้กลิ้งไปไกลจากกลด ละลอกลมยังพัดเอาร่างมันม้วนหมุดไปตามพื้นอย่างแรง จนร่างมันไปไกลจากกลดมาก เป็นอย่างนี้ทุกครั้งจนเสือหมดเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นหรือไปไหนได้  ครั้งสุดท้ายมันลุกขึ้นเพื่อจะตะกายร่างที่สิ้นเรี่ยวแรงของมันกลับเข้าป่าไป  ก็มีลมแรงปะทะดักอยู่เบื้องหน้ามัน  ให้ล้มกลิ้งลงไปอีก จนมันหมดพิษสง  หมดแรง หมดหนทางที่จะไปทางไหนต่อ ( ไปไม่ถูก ) หลวงพ่อเจียมจึงพูดขึ้นว่า “ อย่าพยายามลุกเลย มีแต่จะเหนื่อยเปล่า นอนอยู่ตรงนั้นแหละ ” เสือร้าย จำต้องยอมสยบอยู่กับที่นอนหมอบอยู่ตรงนั้น เพราะจะลุกไปทางไหนไม่ได้เลย  พอลงโทษสมแก่ความผิดของมันพอควรแล้ว หลวงพ่อเจียมจึงบอกให้เสือสมิงตัวนั้นลุกขึ้น กลับเข้าป่าได้ นี่เป็นเพียงเรื่องหนึ่งของหลวงปู่เจียม ที่ใช้อิทธิฤทธิ์ สยบเสือสมิงด้วยกสิณลม

ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่นั้น อีกเรื่องหนึ่ง เนื่องจากป่าทุกวันนี้ถูกมนุษย์ทำลายไปหมด เสือสมิงจึงเป็นแค่ตำนาน อีกทั้งปืน อุปกรณ์การล่าสัตว์ทันสมัยขึ้นทุกวัน แต่ก่อนป่าในเมืองไทยแถวสวนสามพราน ยังเคยมีแรดอาศัยอยู่ แต่แรดตัวสุดท้าย ก็ยังโดนสัตว์ต่างเผ่าพันธุ์ คือมนุษย์ทำลายลงหมด พูดไปแล้วสลดหดหู่ใจมาก จึงขอเอวังลงด้วยประการฉะนี้