ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 81

เป็นตำนานที่ถูกเล่าสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลก ครั้งที่ 2 ของกลองเก่าแก่ขนาดใหญ่มาก จนหาที่มาไม่ได้ใบหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเสียงกลองใบนี้จะขับไล่ภูตผีปีศาจทุกชนิดที่สิงสถิตอยู่ในหุบเขา และปริมณฑลใกล้เคียงได้อย่างชะงัดนัก

ปัจจุบันนี้ทุกวันพระ เวลาเช้า และเย็น เสียงกลองจะดังกังวานก้องไปทั่วหุบเขา ทุกครั้งที่เสียงกลองดังจะมีเสียงนกยูง ซึ่งมีปริมานนับไม่ได้ในป่าต่างจะพากันร้องขานรับเสียงกลองกันไปเป็นทอดๆ ตลอดแนวไพร ในหุบเขา จนเสียงสุดท้ายของกลองขาดหายไป  ผู้ตีกลองคือ ตุ๊เจ้าแสนเมิง เจ้าอาวาสวัดเล็กๆ ในเมืองเชียงรุ่ง มณฑล สิบสองปันนา

ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านเชียงรุ่ง จะไม่ยอมให้เรื่องนี้ซาหายไป ต่างจดจำกันใส่ใจด้วยความประทับใจว่ามันเป็นตำนานของหมู่บ้านเฮา  แสนเมิงเป็นเด็กกำพร้า วัยไม่ถึง 10 ขวบ เมื่อมาอยู่กับ ตุ๊เจ้าสิริเจ้าอาวาสผู้เป็นลุง แสนเมิงเป็นเด็กที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีเช่นเดียวกับผู้เป็นลุง ขยันขันแข็ง ช่วยงานวัดทุกอย่าง ตุ๊เจ้าสิริได้สอนให้แสนเมิง เอาอาหารที่เหลือจากวัดทุกวันไปเลี้ยงนกยูงในป่า แสนเมิงจะหิ้วกระป๋องใส่ข้าวที่เหลือจากพระฉัน เดินหายเข้าป่าซึ่งอยู่ใกล้วัด พร้อมนกหวีดในมือ เพื่อเป่านกหวีดเรียกนกยูง เมื่อนกยูงได้ยินเสียงนกหวี จะพากันบินมารออาหาร รายรอบตัวเขากรีดหางรำแพนปีก ร้องสรรเสริญในความเมตตาของเขาเซ็งแซ่  เชื่องจนมองเห็นแสนเมิงเป็นสหาย มันเป็นเวลานานกับกิจวัตรอันนี้ จนเขาอายุได้ 18 ปี วันหนึ่งตุ๊เจ้าสิริ ผู้เป็นลุงใช้ให้เขาเข้าไปหาสมุนไพรอย่างหนึ่งในป่า เพื่อนำมาใช้ในการปรุงยารักษาผู้ป่วย ซึ่งส่วนมากก็เป็นชาวบ้านที่ยากจน ไร้ปัจจัย หมดหนทางจะเข้าไปพึ่งหมอหลวงในเมืองได้ แสนเมิง จึงคว้ามีดพร้า ย่าม กระบอกน้ำ ไม้พายขนาดใหญ่ หายเข้าป่าไป ครั้นได้สมุนไพรที่ต้องการอย่างจุใจแล้ว ขณะที่เขากำลังเดินทางกลับวัด แสนเมิงได้ยินเสียงนกยูงร้องดังลั่นป่าด้วยความเจ็บปวดและตกใจ เขารีบผวา บุกป่าแผ้วถางทางไปยังต้นเสียงอย่างไม่รอช้า เมื่อถึงที่มาของต้นเสียง ภาพที่เห็นทำให้เขาต้องตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่จะเรียกสติกลับมาได้ นกยูงตัวหนึ่งกำลังถูกงูลายขาวดำขนาดใหญ่เกือบเท่าเสาบ้าน รัด หมายจะกลืนกิน นกยูงอีก  2-3 ตัวพยายามเข้ามารุมจิกทำร้ายงูเพื่อจะช่วยชีวิต นกยูงตัวที่ตะกายหาทางรอดจากวงรัดของงู ทันทีที่นกยูงทั้งหมดเห็นแสนเมิงโผล่มา ต่างพากันร้องด้วยความดีใจ แล้วบินจากไปเกาะคาคบไม้พากันดูอยู่ห่างๆ แสนเมิงเอาพายพุ่งไปทิ่มที่ขนดงู แรกเลยคือเขาไม่มีเจตนาจะฆ่างู เพียงเพื่อจะให้งูปล่อยนกยูงเท่านั้น จึงเอาปลายไม้พายที่ยาวกระทุ้งที่ตัวงู จนงูรำคาญมากเข้า งูเริ่มโกรธ แล้วเปลี่ยนเป็นอาฆาตแค้นแสนเมิงแทน งูจึงคลายขนดปล่อยนกยูงตัวนั้นพุ่งตรงมาที่เขาทันที “ เจ้างูเอ่ย เราไม่ต้องการจะฆ่าเจ้า เจ้าไปเสียเถอะ ” งูกลับพุ่งเข้าจะทำร้ายเขา กะเอากันถึงตายไปข้าง เขาเบี่ยงตัวหลบแล้วตีด้วยไม้พายอย่างแรง จนงูพับไปทางขวา แต่แล้วก็พุ่งตัวกลับเข้าฉกแสนเมิงอีกอย่างไม่ยอมเลิก  แสนเมิงป้องกันตัว ตีงูกลับไปอีกที จนหัวงูพับกลับ ล้มลงกลับพื้น งูบิดตัวเป็นเกลียวดูเป็นมันเลื่อมขนาดใหญ่ ทำให้แลดูน่าขนพองสยองเกล้ามาก งูพยายามผงกหัวขึ้นจะพุ่งเข้ามาทำร้ายแสนเมิงอีก แต่หมดแรงจะทำอะไรต่อได้ …แสนเมิงไม่ซ้ำ อุ้มนกยูงตัวนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่กลับมายังวัด ปีกมันหัก เขารักษามันอยู่ 5 วัน นกยูงตัวนั้นก็บินกลับป่าได้

ต่อมาไม่นาน แสนเมิงมีเหตุให้ต้องไปทำงานยังเมืองฮาย ซึ่งไกลจากเมืองเชียงรุ่งมาก เป็นเวลายาวนานถึง 5 ปี  เขาย้อนกลับมาเมืองเชียงรุ่งเมื่ออายุ เขาได้ 23ปี เพื่อเยี่ยมผู้เป็นลุง  แต่รถได้มาเสียกลางป่า เขาจำต้องเดินฝ่าป่าดงกลับมาที่วัด ซึ่งอยู่อีกไม่ไกลนัก เดินมาได้ครู่ใหญ่ ฝนที่ไม่ได้ตั้งเค้ามาแต่ล่วงหน้าได้เทลงมาอย่างหนัก เขาจึงกราดสายตามองหาที่หลบฝน ได้เห็นกระท่อมในความสลัวของสายฟ้าแลบอยู่รำไร พร้อมแสงตะเกียงริบหรี่ๆ  เมื่อแสนเมิงก้าวผ่านประตูไม้เก่า เขาพูดขึ้นมาตามมรรยาท “ ผมขอหลบฝนนะครับ เดี๋ยวฝนหยุดผมจะเดินทางต่อนะครับ ” เขาเอ่ยปากขออนุญาตด้วยมารยาท แม้จะไม่ปรากฏผู้ใดในกระท่อมก็ตาม ไม่นานฝนได้หยุดลง แสนเมิงรีบก้าวออกจากกระท่อมเพื่อเดินทางต่อ เขาอดใจรอที่จะพบสีหน้าที่ดีใจของผู้เป็นลุงไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้บอกผู้เป็นลุงล่วงหน้า  “ ผมไปแล้วนะครับขอบคุณ ครับ ” เขากำลังก้าวพ้นประตูกระท่อม ซึ่งเป็นไม้ไผ่สานเพื่อจะออกมาเบื้องนอก แต่ได้สังเกตเห็นเงาใครคนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหลังประตู พร้อมเสียงพูดว่า “ เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป แกจำข้าได้ไหม จำได้ไหม ” แสนเมิงชะงักหันไปดูชายผู้ พูดด้วยความประหลาดใจ เห็นดวงตาของชายผู้อยู่ในเงามืดนั้นหรี่เล็กแดงๆ เป็นสีทับทิมเรืองๆ เหมือนตาของงูไม่มีผิด เขาเริ่มกลัวจับขั้วหัวใจเชื่อว่าชายผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดาเพราะตาแดงลุกเป็นไฟ “ เราไม่รู้จักกันเลยคุณจำผิดแล้ว ” “ แต่ข้าจำแกได้เสมอไม่เคยลืมเลย ข้ารอคอยแกด้วยความทุกข์ทรมานมา 5 ปีแล้ว ” ชายในเงามืดพูดแล้วเหมือนมีเสียงขู่ฟ่อๆๆ คล้ายงูกำลังข่มขู่ “ ข้าจำไม่ผิด แกลืมเองต่างหาก แกจำเหตุการณ์ เมื่อ 5 ปีก่อนได้ไหม แกตีข้าคอหักตายในหุบเขา แล้วทิ้งข้าให้ตายอย่างทรมาน ” ชายหนุ่มตกใจไม่ทันจะพูดอะไรออกมา “ ใช่ข้าคืองูตัวที่แกฆ่า ข้ารอเวลานี้มา 5 ปี แล้วที่จะได้แก้แค้น ” ทันทีที่ชายผู้นั้นพูดจบ ท่อนขาทั้งคู่ของเขามันพุ่งยาวไปเบื้องหลังกลายเป็นลำตัวงูขนาดเท่าเสาบ้าน หน้าเริ่มยื่นยาวออก ปากฉีกกว้าง จมูกแฟบหายลงไป แสนเมิงร้องเอะอะไม่เป็นภาษาแล้วเผ่นพรวดลงไปจากกระท่อม แต่งูได้พุ่งพรวดไปดักหน้าแสนเมิงอย่างรวดเร็ว แล้วลำตัวอันมหึมาได้รัดเขาไว้ในวงขนดเร็วจนตั้งสติไม่ทัน เสียงของแสนเมิง ร้องดังลั่นป่าด้วยความตกใจท่ามกลางสายฟ้าที่แลบแปลบปราบ แม้นฝนจะขาดเม็ดไปแล้วก็ตาม

แต่ทันใดนั้นได้มีนกยูงจำนวนมากพยายามจะเข้ามาช่วยแสนเมิง จนเห็นเป็นเงาดำๆของนกยูงล้อมรอบไปหมด เสียงชายผู้กลายเป็นงู พูดว่า “ มา…มา…เจ้านกยูงทั้งหลายมาดูวันตาย …. ความตายของชายผู้ใจดีที่เคยช่วยชีวิตเจ้า ” แล้วโฉบหัวอันใหญ่โตขึ้นเหนือศีรษะของแสนเมิง มองลงมาด้วยดวงตาที่อาฆาตและเย้ยหยัน เตรียมจะฉกลงมาที่ใบหน้าเขาให้หายแค้น แสนเมิงพยายามใช้มือทั้งสองค้ำคองูยันเอาไว้สุดชีวิต ในนาทีแห่งความเป็นความตายนั้น เสียงกลองได้ดังกระหึ่มขึ้น และดังขึ้น แม้นจะไม่ดังมากนัก แต่ได้ดังต่อเนื่อง กันไม่ขาดเสียง ทันทีที่เสียงแรกของกลองดังขึ้น ปีศาจงูผงะสิ้นเรี่ยวแรงคลายขนดลงไปกับพื้น เสียงกลองที่ยังดังย้ำอยู่แม้จะแผ่วเป็นระยะๆ แต่ได้สร้างความเจ็บปวดให้กับงูจนบิดตัวไปมา ปล่อยร่างของแสนเมิงให้เป็นอิสระ ทันทีที่หลุดออกมาจากขนดงู เขาพุ่งตรงไปในความมืดของป่า ตามเสียงกลองนั้นไปสุดชีวิต เพราะเสียงกลองนี้ที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ เสียงกลองออกมาจากถ้ำเล็กๆ ในหุบเขาที่ไม่ไกลเท่าไหร่ ถ้ำอยู่บนชะง่อนผาที่ไม่ชันมาก แต่ค่อนข้างจะหาทางเข้าปากถ้ำยาก …. แต่เสียงกลองที่ยังดังอยู่แผ่วๆ บอกทิศทางได้อย่างดี มันแผ่วเบาลงๆ เหมือนคนที่หมดเรี่ยวแรง แสนเมิงพรวดเข้าถ้ำมาแล้ว กราดไฟฉายดูที่มาของเสียง เสียงกลองยังดังอยู่ไม่หยุด ภาพที่เห็นทำเขาตัวชาวาบไปทั้งร่าง น้ำตาเหมือนจะซึมออกมา นกยูงหนุ่มตัวนั้นที่เขาเคยช่วยชีวิตไว้ได้ใช้หัวของมันทุบตีกลอง จนบอบช้ำแม้จะหมดแรง คออ่อนคอพับแต่ยังรวบรวมแรงที่เหลือ ตีกลองต่อไปเพื่อช่วยชีวิตผู้มีพระคุณของมัน …. ด้วยแรงกตัญญู  แสนเมิงตรงเข้าไปกอดอุ้มนกยูงตัวนั้นไว้แนบอก รีบนำกลับมายังวัด ลุงเขาเล่าว่า แรงอาฆาตของงูตัวนั้น ทำให้มันเป็นอมตะไม่ตาย และจะยังไม่ตายจนกว่าจะได้แก้แค้นสำเร็จ แสนเมิงจึงตัดสินใจบวชเป็นพระอยู่กับลุงที่วัด แล้วนำกลองใบนั้นออกมาจากถ้ำนำมาไว้ยังวัด  เขาจะเป็นผู้ตีกลองใบนี้เองทุกเช้าเย็น ทุกวันพระ เพื่อขับไล่ผีงูตัวนั้นไม่ให้มาทำร้ายเขาได้อีก ยังขับไล่ผีป่า ผีโปร่ง ผีต่างๆจากป่านั้น ไปตลอดจนทั้งหุบเขา ไม่มีผีตัวไหนกล้าเข้ามาใกล้วัดนั้นอีกเลย จนปัจจุบันกลองนี้ก็ยังอยู่ที่วัดเล็กๆในเมืองเชียงรุ่ง  สิบสองปันนา เป็นตำนานของหมู่บ้านที่พวกเขาภูมิใจกันมาเล่าสืบต่อให้ลูกหลานทุกรุ่นๆ ได้รับรู้