ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 19

คงไม่ต้องย้อน หรือรื้อฟื้น ว่าปู่ ชีวกฯ เป็นใคร  ตอนเปิดคลาส 3 วัน นักเรียนในคลาสคน หนึ่งสามารถ สื่อกับปู่ชีวกฯ ได้ กับเวลาเปิดคลาส เราเคยอธิษฐานไว้นานแล้วว่า ขอให้ปู่ ชีวกฯ ได้มารักษานักเรียนที่เจ็บป่วยในคลาสเราด้วยเถิด ปรากฏว่า ปู่มาช่วยรักษาทุกครั้งจริงๆ  แต่ภายหลังเราสามารถ เรียกเจ้ากรรมนายเวรของลูกศิษย์ลูกหา ออกมาขอขมากรรมกันแล้วไปเกิดเลย แบบถอนรากถอนโคน ไม่ต้องมาเจ็บ มาคอยรักษาเยียวยากันอีกเรียกว่าม้วนเดียวจบเพียงให้ไป

ทุกท่านเบื้องบนดูแลแม่อย่างดี เพราะแม่พบแสงสว่างแล้ว รู้ทุกอย่างหมดแล้ว สำนึกตนแล้วแถมเวลาเราเปิดคลาสแม่จะมาฟังด้วยทุกครั้งด้วยความภูมิใจ แม่เป็นสุขแล้วเราจึงหมดห่วงกลับกลายเป็นแม่ห่วงเราแทน เพราะเห็นงานที่เราทำ ความรับผิดชอบ ภาระที่หนักอึ้ง การกินนอนไม่เป็นที่ ระเหเร่ร่อน

แม่จึงเป็นห่วงสุขภาพเรามาก  ทุกคืนแม่จะกลับมาบ้านบุญรักษา อยู่กับเราในทุกอณูอากาศ ยามกลางวันแม่กลับไปปฏิบัติรับใช้ฟังธรรมกับหลวงปู่โต พอเดือนมีนาคมมาถึง หลังจากแม่จากไปเพียงเดือนเดียว เรามีเจตตาจะเปิดคลาสที่บ้าน บุญรักษาอีก เอาคลาสใหญ่จัดเต็ม ได้เพียง 5 วัน จากวันที่ 29 เมษายน – 03พฤษภาคม 2017 มีนักเรียนมากว่า 30 คน แต่เพราะห้องมันเล็กจึงให้ช่างมาทะลุฝาห้อง ทำให้เป็นห้องโถงใหญ่ บรรจุคนได้เต็มที่  40 คนเลย จึงต้องมีการเก็บโยกย้ายทุกอย่างไม่ให้โดนฝุ่น ได้เกิดอุบัติเหตุพลัดตกจากบันได เท้าข้างซ้ายยอก ช่วงนั้นโชคดีที่ คุณจอยมานวดให้ เจ้ากิ๊ปลูกศิษย์มาช่วยเก็บบ้าน ดูดฝุ่น ถูพื้น มีนาคมทั้งเดือนที่ยุ่งอยู่กับบ้านพร้อมทั้งลากขา ขับรถแทบไม่ได้ บางคืนนอนเจ็บเท้าจนน้ำตาร่วง  ลำบาก เกี่ยวกับเท้ามายาวนานมากจนย่างเข้าเดือนเมษายน  พอทุเลา เดินเหินได้คล่องขึ้นแต่ต้องใช้ไม้เท้า

จู่ๆ ตื่นมาเช้าหนึ่ง ของต้นๆเดือนเมษายน ปู่วิษณุ มาบอกว่า “ลูกแก้วของเอ็งอยู่ที่สกลฯไปรับเอาเองข้าให้”  “อะไรขาเจ็บนี่นะจะให้เข้าป่า ช้าก่อน” “จะเอาไม่เอาเรื่องของเอ็ง”เป็นการสื่อมาทางจิตจาก ปู่วิษณุ ท่านเป็นนาคระดับเก้าเศียร ระดับขุนพล ธรรมะของท่านสูง มนุษย์บางคนเทียบไม่ได้  เราพบกับปู่ตอนเดือน กุมภาพันธ์ 2017 ตอนไปทำบุญที่เชียงดาวมีลูกศิษย์ไปด้วย 6-7 คน กลับจากทำบุญ เราจะเปิดคลาส 3 วันให้แม่ ตอนนั้นแม่ยังไม่เสีย กลับมาก็ต้องรีบเข้าคลาสเลย  กับยังไม่มีปัญหาเรื่องขาในเวลานั้น  ขากลับจากทำบุญที่เชียงดาว คณะเราแวะที่ถ้ำเชียงดาว เหมือนมีอะไรรออยู่ เหมือนดลใจให้เราต้องแวะ เหมือนพวกเขาคาดหวังจะพบเราอยู่ ปรากฏว่าขณะที่ไกต์พาเดินเข้าถ้ำนั้น พอลึกไปถึงกลางถ้ำ ท่านศรีสักกะนาค ลงผ่านร่างเด็กเราในกลุ่มหนึ่งคน บอกให้เดินต่อเข้าไปข้างใน มีใครรออยู่ พอคณะเรา 6-7 คน เดินเข้าถึงกลางถ้ำ ตรงตำแหน่งหินก้อนหนึ่งที่ผุดขึ้นมา ลักษณะเหมือนหัวพญานาค มีผ้าแดงคาดพร้อมของเซ่นไหว้วางอยู่ เด็กหยุด แล้วปู่วิษณุ นาคซึ่งเป็นนาคระดับ ใหญ่ 9 เศียร เข้าร่างเด็ก กับขอให้เรากับคณะช่วยกันปลดวิญญาณนาคที่ติดอยู่ในถ้ำ ที่ถึงวาระที่จะไปเกิด เขาติดกันมานาน รอผู้ที่มีฌานบารมีแก่กล้า ที่จะผ่านเข้ามากับเขาเสาะหาจนเจอ จึงดลจิตดลใจให้มาถึงที่   ปู่วิษณุดลจิตดลใจให้แวะโดยตรง พอเดือนเมษายน  คือผ่านจากวันเข้าถ้ำแค่  2 เดือน ปู่วิษณุให้รางวัลที่ไปช่วยท่านปลดพรรคพลนาคให้ ซึ่งปู่ก็บอกว่า เราเอง เคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน แม้ขาจะเจ็บอยู่ เราตัดสินใจเลยเพราะอยากรู้เหมือนกัน มันคงจะเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่แน่นอน เพราะแก้วที่ได้มาไม่เคยได้ไปเก็บมาเองกะมือ  จะต้องไปสัมผัสกับของจริง อย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิตให้ได้ แม้ขาจะเดินไม่ถนัดเหมือนเดินขาเดียวก็ตาม มันคือบททดสอบอีกบทหนึ่ง ซึ่งเราก็ต้องไป การไปเอาแก้วครั้งนี้ก่อนเราเปิดคลาสเพียงไม่กี่วันทุกอย่างกระชั้นชิดกับเหนื่อยมาก เมื่อปิดคลาสต้นเดือน พฤษภาคม ปลายเดือนก็ต้องเตรียมเดินทางเข้าอเมริกายาว แทบไม่ได้หายใจ  จึงให้นิชาวัลย์ เลขา จองตั๋วระยะเผาขน ไปลงที่อุดรฯ จากอุดรฯ ต่อรถไปสว่างแดนดินที่สกลนคร  นัดกับเด็กคนเดินพาเข้าป่าทางนั้นให้มารับ แล้วพาไปอำเภอส่องดาว เข้าวนอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก โดยเด็กจอง ห้องพักให้ 2 คืน  ทุกอย่างราบรื่นอย่างเหลือเชื่อ งานนี้เราบินเดี่ยวเลย ไปคนเดียว ช่วงไปต่อรถที่ จ.อุดรฯ ไปสว่างแดนดิน รถที่ไปเหมือนออกมาจากพิพิธภัณฑ์ คนที่นั่งในรถแก่ยิ่งกว่าของเก่าบรรยากาศ น่ากลัวมากเหมือนเมืองเถื่อนของอีกโลกหนึ่งที่เราหลุดเข้าไป รถรอเวลาออก ทันทีที่แบกเป้ กับกระเป๋าอีกใบ ก้าวขาข้างที่เจ็บขึ้นไปบนรถ คนยืนเบียดกันแน่น แทบไม่มีที่เดิน พระเจ้าหมายความว่าเราต้องยืนไปตลอดทาง เกือบชั่วโมงกว่าเหรอ บนขาข้างเดียว มันเป็นการทดสอบจากปู่วิษณุ หรืออะไร ? เบาะหลังคนขับ มีหญิงสูงอายุนั่งอยู่ ที่ข้างๆเธอว่าง เธอคงจองให้ลูกหลานที่มาด้วย  ขณะที่เริ่มปลงกับชีวิตและเริ่มขยับตัวให้เข้าที่เข้าทาง หญิงสูงอายุคนนั้นเอื้อมมือมาคว้ากระเป๋าของเราไปวางไว้บนเบาะข้างๆ แล้วบอกเราว่า คุณ เข้ามานั่งที่ตรงนี้ว่าง เราจองไว้แล้ว แต่เลือกคนที่จะให้มานั่งด้วย  เห็นคุณ เราเลยเลือกให้คุณนั่ง เออ อย่างนี้ก็มีด้วย นี่แหละธรรมจัดสรร เราจึงคุยกันไปตลอดทาง เธอศรัทธาเรามากอายุ มากกว่าเรา 5 ปี เสียดายพอเราไปอเมริกา        6 เดือนจึงขาดการติดต่อกับเธอไปเลย เธออยากไปเก็บแก้วในถ้ำมาก บ้านเธออยู่ในจังหวัดสกลนครเองแท้ๆ เธอเคยได้ฟังแต่เสียงเล่าลือไม่เคยไปด้วยตนเองจริงๆ เธออยากไปมาก   พอถึงสว่างแดนดิน เจ้าฝ้ายกับแฟนหนุ่ม เอารถกระบะ มารับพาเข้าที่พัก

เช้าวันถัดมา เวลา 08.00 น. ฝ้ายจะมารับ พร้อมทำอาหารเจมาให้ทานบนรถระหว่างเดินทางไปถ้ำ  เราให้เงินฝ้ายไปจัดหาซื้อผลไม้ 9  อย่าง พร้อมเครื่องเซ่นไหว้ปู่ศรีสุทโธ กับแม่ย่าศรีประทุม หน้าปากทางเขาถ้ำ เป็นการบอกกล่าว กับขอขมา จะต้องทำให้ถูกกาลเทศะ ซึ่งลุงเตียงคนพาเข้าถ้ำเคยเล่าว่า บางทีเขามากันเป็นคณะรถตู้  3 คัน ระดับดร. มีแม่ชีแต่งชุดขาว มาหลายท่าน นำขบวน แต่ไม่มีการเซ่นไหว้ ไม่มีการบอกกล่าว พากันมากางเตนท์ นอนอย่างถือวิสาสะ ปรากฏว่า ไม่มีใครได้แก้ว หรือเจอแก้วนาคาในถ้ำแม้แต่ลูกเดียว รถพาเข้าป่าโปร่ง สักครึ่งชั่วโมงนานพอที่เราจะทานข้าวเสร็จ จอดทางเข้าป่า แล้วช่วยกันขนสัมภาระทั้งหมดลงรถ เราเดินด้วยความลำบากจากเท้าข้างซ้ายที่ลงน้ำหนักเต็มที่ไม่ได้ พอเดินมาได้ ไม่นาน เจ้าไกรแฟนเจ้าฝ้ายทนสมเพชไม่ไหว ต้องตัดกิ่งไม้เพื่อทำไม้เท้าให้ใช้พยุง เรามัวตื่นตาตื่นใจกับแมกไม้ทิวเขา ไม้พรรณแปลกตาจนลืมความเจ็บ อากาศกำลังสบาย ลมพัดอ่อนๆ พอมาถึงครึ่งทาง พวกเขาพากันหยุดพัก คงเห็นความลำบากของเรา  เราจึงนั่งพักใต้ร่มไม้บนโขดหิน จากนั้นอีก ครึ่งชั่วโมงเราถึงปากถ้ำ ซึ่งมีศาลของท้าวศรีสุทโธ กับแม่ศรีปทุม อยู่ทางเข้าปากถ้ำ คุณเตียงผู้นำคณะจัดธูปเทียนเครื่องเซ่นไหว้ ซึ่งใช้เวลาแค่ 20 นาที เราจุดธูปปัก กรวดน้ำหน้าปากถ้ำเสร็จ ลุงเตียงก็พาคลานเข้าถ้ำ ทีนี้เราจะได้สัมผัสกับของจริงกันละ ว่าทั้งหมด ตำนานของแก้วนาคานั้น จริงเท็จอย่างไร ถ้ำแกลบเป็นถ้าที่ไม่ลึก ทางออกไม่มี เข้าทางไหนต้องออกทางนั้น สุดสายปลายถ้ำ มีแต่นาคกับงูเท่านั้นที่จะต่อไปได้ สำหรับคน ทางตัน มีแสงสว่างปลายถ้ำแต่ต้องปีนผนังถ้ำสูงขึ้นไป ไม่มีใครไปถึง ความยาวทั้งถ้ำประมาณ  700 เมตรถ้าจะได้ มีทั้งต้องคืบ ต้องคลาน ก้ม ซึ่งดีมากไม่ต้องใช้เท้า แต่ใช้คืบคลานเอา ช่วงที่ยืนได้ เพดานถ้ำก็สูง สูงเกือบ  20 เมตร เราคลานกลับไปกลับมา จนเหนื่อย ยังไม่เห็นแก้วสักเม็ด ถ้าจะแห้วซะแล้ว จึงนั่งพักเหนื่อย เห็นค้างคาวบินฉวัดเฉวียนไปมาอยู่เหนือศรีษะ สภาพในถ้ำมีลำธารน้ำผ่านกลางเบียดเสียดไปด้วยซอกหลืบโขดหิน มีพื้นทรายบางแห่งสัมผัสกับกลิ่นอับๆของมูลค้างคาว มีร่องรอยการขุดคุ้ย มีเศษขยะของเดนมนุษย์ที่เข้ามาหาแก้ว มาค้นหาหอย มาตั้งวงดื่มเหล้า เวลาผ่านไปกว่าชั่วโมงแล้วยังไม่มีร่องรอย พลันก็ได้ยินเสียงเจ้าไกรแฟนเจ้าฝ้ายร้อง เอะอะ เรียกชื่อเราขึ้นมากลางถ้ำ