ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 209

สมเด็จบึงพระยาสุเรนทร์ที่เราได้มานี้เป็นแบบ ฐานแซม ด้านหลังจารึกคำว่า นะชาลีติ
ประสบการณ์ครั้งแรก ตอนนั้นคุณพ่อรับราชการอยู่ที่หลักเมืองตรง องค์การเชื้อเพลิง คุณแม่ให้ขับรถจากบางเขน เข้ามาหาคุณพ่อที่ทำงาน ระยะทางไกลเท่าไหร่คงรู้เกือบจะจาก สะพานใหม่ มาสนามหลวงดีๆ นั่นแหละสมัยนั้นรถไม่ติดขนาดนี้ ปรากฏว่าพอเราถึงที่ทำงานคุณพ่อไม่ทันจอดรถดี รถเสียหลักบังคับพวงมาลัยไม่อยู่ เกือบชนกำแพงเบื้องหน้าที่จอดรถ คือมาเสียตอนถึงที่หมายพอดี พลทหารที่ดูแลรถตรวจดูแล้วหันมามองหน้าเรา หน้าถอดสี ถามเราว่า “ คุณหนูแขวนพระอะไรครับ ” ตอนนั้นเราไม่รู้ ตอนนี้รู้แล้วว่า คือ “ สมเด็จเขียว ”
ครั้งที่ 2 … ขับรถด้วยความเร็ว ฝ่าทางโค้งที่หมู่บ้านการเคหะ เลยแยกบางกะปิจะข้ามคลองพังพวย เข้าอินทรารักษ์ รถแหกโค้งเข้าชนเสาไฟฟ้าข้างทาง บนรถมีเพื่อนนั่งมา อีก 3 คน คิดว่ามีอ้อยคนหนึ่งที่แน่ๆ กับอุไร และตุ้ย เราเป็นคนขับ งานนี้ไม่มีใครบาดเจ็บรถขึ้นไปเกยเกาะถนน เราถอยรถลงมาช้าๆ สติ กลับคืนมาตาสว่าง
ครั้งที่ 3 … เหตุเกิดที่พรมแดนอเมริกากับแคนดานา ในปี 1986 โดยประมาณจำได้ไม่แน่ชัด เมื่อเราหลุดเข้าเขตแคนนาดาไปแล้ว เพียงแค่เดินไปถ่ายรูปที่ธงตรงประเทศแคนนาดา พอเดินกลับเข้ามา อิมมิเกรชั่นของอเมริกันจับเราทันที บอกเราออกนอกประเทศไปแล้ว ยามข้างนอกต้อนเราเข้าไปให้เจ้าหน้าที่ข้างในเพื่อตรวจเอกสาร ซึ่งเอกสารเราทุกอย่างไม่มีอะไรเลย แม้ใบขับขี่ เก็บไว้ที่พักของเพื่อนหมดเพราะเพื่อนขับรถ แต่เราพกเงินดอลล์เป็นฟ่อนๆ ไปจ่ายของที่บอสตัน จากนั้นจะเลยขึ้นมลรัฐเวอร์มอน ( VT ) เพื่อไปเยี่ยมเพื่อนที่เรียนอยู่เมืองวินสนุ๊กสกี้ ดังนั้นมลรัฐเวอร์มอนจึงเคยไปมานานแล้วถึง 2 ครั้ง แต่เจ้าหน้าที่อิมมิเกรชั่นพอเห็นหน้าเราเขาโบกมือไล่ออกมาเฉยๆ จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เข้าใจว่าได้พุทธคุณของ “ นะจังงัง กับเมตตามหานิยม ” ของพระสมเด็จเขียว เมื่อเดินออกประตูมา ยามคนเดิม ( เป็นคนผิวดำ ) ที่จับเรา ซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดยังงงๆ พูดเลยว่า “ ครั้งนี้ยูโชคดีนะ … อย่าให้เกิดครั้งหน้าอีก ยูอาจจะไม่ โชคดีอย่างครั้งนี้ ” … เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดกับคนอื่นเลย หนึ่งในล้านจริงๆ พยานสายตามี เพราะไปกับคุณอารียา หรือ ออ้ม ในตอนนั้น เธอเป็นมือกล้องให้เราในงานนั้น เธอถูกตรวจเอกสารคนเดียว เพราะเป็นนักเรียนทุนจากกองทัพเรือ พอถึงคิวเราเขากลับโบกมือไล่ออกไปเฉยๆ เธอเองยังตกใจตะลึงอยู่นาน รีบวิ่งนำออกไปแต่ลืมกุญแจรถไว้ตรงเคาร์เตอร์ วิ่งย้อนกลับไปเอา หากคนอื่นคงจะยาว คงต้องส่งกลับ หรือติดคุกทันทีไม่มีทางเลือกอื่น … อย่างน้อยสุดต้องจดชื่อ นามสกุลไว้
ครั้งที่ 4 … ประมาณปี 1986 ตอนนั้นอยู่ มลรัฐ Kansas ไปทำงานประจำกับ Unifile School Distict อีกงานเปิดร้านขายของโอเรียลเตล ที่ไปรับมาจาก เมือง Tulsa ในมลรัฐ Oklahoma ซึ่งต้องขับขึ้นสาย 169ไปตลอดกว่า 2 ช.ม เราได้ใช้เวลาว่างวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ ต่อเติมร้านเอง จัดร้านเอง และทะลุฝาห้องไปอีกห้องหนึ่ง ห้องใต้ดินก็เปิดทำช่างไม้กอล์ฟ ตอนนั้นมี 3 งาน พลังเยอะพร้อมไฟแรง แต่ตอนอยู่โอราโฮมา เคยแบกถึง 5 งาน วันนั้นจะทำขอบประตูข้างบน ได้ปีนขึ้นบันไดขนาด 6 ฟุต สูงจากพื้นห้อง ห้องเต็มไปด้วยเศษไม้ เศษตะปู กับ Sheet Rock ( ฝาห้อง ) ที่ตัดไว้เกลื่อนไปหมด แต่เพราะถือว่าใส่รองเท้าผ้าใบทำงาน ด้วยความโง่ … ที่มีมาตลอดเมื่อเสร็จงาน ได้กระโดดจากบันไดถอยหลังลงมาบนพื้น … เจี๊ยก !!!! ต้องร้องออกมาสุดเสียง ฆ้อนหลุดจากมือแล้วกระโดดขาเดียวเพราะส้นเท้าอีกข้างปักลงบนตะปูที่ติดอยู่กับกรอบไม้ กรอบไม้นั้นยาวเกือบฟุต ติดรองเท้าขึ้นมาทันที เพราะไปเหยียบตะปูที่อยู่บนไม้นั้นเข้า Gee !!!! เรามองดูไม่เชื่อสายตาว่าตนเองจะพลาด ความเจ็บปวดแล่นแปล๊บไปทั่วร่าง กระโดดลง โดยใช้ส่วนที่เป็นส้นเท้าลงด้วยน้ำหนักเต็มที่ จะรอดได้อย่างไร? จึงค่อยๆ เขย่งเท้าเดียวไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วบรรจงดึงไม้ออกมาดูตะปู พระเจ้า!!!!! ตะปูยาวเกือบนิ้วครึ่ง จึงค่อยๆ ถอดรองเท้าออกมา ( โชคดีที่ไม่มีใครเห็นความโง่ เพราะทำงานอยู่คนเดียว ) เลือดคงออกมาชุ่มถุงเท้า แล้วหวังเห็นสีแดงของเลือดว่างั้นเถอะ … แต่ …เอ๊ะ… ทำไมเลือดไม่มี … จึงรีบดึงถุงเท้าพรวดออกมา มองดูตรงที่ถูกตะปู เห็นเป็นจุดแดงๆ เหมือนไฝสีแดง แต่เจ็บมาก … อะไรกัน เรายังนั่งงงอยู่ … ที่คอแขวนพระสมเด็จเขียว ด้วยพระพุทธคุณ ของพระสมเด็จเขียว ปาฏิหาริย์ครั้งนี้เรียกว่า “ อยู่ยงคงกระพัน ” ตะปูไม่เข้า เรายังกัดไม่เลิก ไปเอาตะปูตัวนั้นออกมาอีก ใช้คีมดึงออกมาทั้งตัวเลย แล้วใช้แว่นขยายส่องดูความคมความแหลมของมันว่ามันทื่อ หรือไฉน? ก็ต้องงงเป็นซ้ำสาม จึงตอกเปรี้ยงลงไปในเนื้อไม้อีกที มันทะลุไม้เข้าไปมิดหัวบอกถึงความแหลมคมที่ท้าทาย … เลยเลิกเล่นกะมันแล้ว เก็บความงงนี้ไว้คนเดียว เดี๋ยวงานไม่เสร็จหันมาทำงานต่อ แต่เป็นเหตุการณ์ที่จะลืมไม่ได้ในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง

พระองค์นี้ บางครั้งถึงกับบังตาเราไม่ให้ใครมองเห็นเป็นมาแล้ว เมื่อไปเดินหลงอยู่ในซอยมืดๆ คนเดียวที่ ควีน ในนครนิวยอคร์ ตอน 09.35 PM โดยไม่เป็นอะไรหรือมีใครเห็น ( เกิดในปี 2005 ) อีกครั้งตอนขึ้นรถไฟใต้ดินในอุโมงค์เพื่อไปเกาะแมนฮัตตันตามนัดกับลูกค้า ไปคนเดียว เกิดลงรถไฟผิดสถานี ดันลงภายในกลางอุโมงค์ ที่ว่างเปล่ามีเราเพียงคนเดียวที่ลงรถมา เพิ่งมาครั้งแรกคนเดียว เราหลง … แต่ก็รอดมาได้ เพราะสติตัวเดียว จำได้ดีว่าใจเราเย็น นิ่งมากค่อยๆ มานั่งที่เก้าอี้ที่พักผู้โดยสารกางแผนที่ออกมา จึงรู้ว่าอีก 3 สถานีจึงจะถึง ลงเร็วไปหน่อย พอรถไฟขบวนต่อไปมา โดดขึ้นเลยแล้วมาถึงที่หมายเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น

ใช่แล้ว … ของเก่าในที่นี้คือ พระ เราไม่ได้เป็นเซียนพระ ความรู้เรื่องพระไม่มีเลย เท่าที่มีกับจะเล่าคืออะไรที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงเท่านั้น เมื่อนักเลงพระมาอ่านบทความนี้เข้า คงอดสมเพชเวทนา ในความรู้งูๆ ปลาๆ เรื่องพระของเราไม่ได้ แต่พระพุทธคุณ เริ่มฉายแสงเข้าสู่ชีวิตอันต่ำต้อยของเรา ตั้งแต่อายุยังไม่ 18 ปี ด้วยซ้ำ จนอยากจะตั้งชื่อบทเสียใหม่เลยว่า “ ข้ามากับพระ ” จากชีวิตจริง ที่เรามาผจญชีวิตคนเดียวในต่างแดน เกือบทุกมลรัฐ เพราะพระนำเรามาตลอด เราได้นำพระที่เหลือในพวงที่เก็บได้ไปใส่พานพระที่หิ้งพระที่บ้านอย่างไม่ใยดี กับพระองค์ไหนทั้งนั้นในตอนนั้น แม้แต่สมเด็จเขียวองค์นี้ นี่แหละที่เขาเรียกว่า “ เมื่อวาระเวลายังมาไม่ถึง มันก็จะไม่ได้ จะไม่เกิด ” จากวันที่เก็บได้ สมเด็จเขียวถูกวางทิ้งอยู่ในพานหน้าหิ้งพระของพ่อนานถึง 2 ปี ก่อนจะนำพระสมเด็จเขียวขึ้นคอบูชา เพราะจะเดินทางไปผจญภัยในต่างแดนที่ประเทศอเมริกาเป็นครั้งแรก ไปแบบไปตายเอาดาบหน้า

ปีต่อมา เมื่ออายุประมาณ 18 – 19 ปี ได้สนิดกับเพื่อนเพิ่มมาอีกกลุ่มโดยอาสาหัดขับรถให้เพื่อนๆ เพราะขับรถเป็นก่อนใครเขาเพื่อน ก็จากรถจิ๊ปทหารของพ่อน่ะแหละ จะเล่าให้ฟัง … มันจริงๆๆ เพราะความซนมาแต่กำเหนิด ขโมยรถพ่อ ออกหัดเองเลยเป็นเองไม่มีใครสอน เพราะเท่าที่จำความได้ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยกลัวอะไรเลย เห็นพ่อทำจนจำได้ ยังเด็กมาก ลิงมันเห็นมันยังทำได้ จะให้แพ้ลิงได้อย่างไรเล่า? จะบอกให้แม้กระทั่งว่ายน้ำ หัดว่ายในคลองในบ้านนั่นแหละ อยู่ฝั่งหนึ่ง จะว่ายไปอีกฝั่งหนึ่ง น้ำลึกพอที่จะทำเราจมน้ำตายได้ ตอนนั้นอายุ ประมาณ 12 ปีไม่มีใครเห็นปลอดคนดีมาก เราแช่น้ำมองดูอีกฝั่งอยู่นานชั่งใจตนเองก่อนจะตัดสินใจพุ่งตัวออกไปกลางคลองแล้วจ๋อมแจ๋มๆ เข้าหาอีกฝั่งได้ เพราะเห็นหมามันว่ายข้ามได้ จะให้อายหมาได้อย่างไร? กลับมาที่เรื่องรถจิ๊บเราออกรถเกียร์ 1 ที่พ่อใส่ค้างไว้ เพราะเห็นกุญแจค้างอยู่ ไปเลยคนเดียวโดยไม่ลังเล ( ชีวิตเราเท่าที่จำได้ จะให้โอกาสแก่ตนเองเสมอ ไม่เคยพลาดโอกาสใดๆ เลย ไม่เคยต้องขอหรือรอให้ใครมาสอน ) ขับแถวในซอยบ้าน ที่เป็นคูคันนาตัดไปตัดมา มีน้ำล้อมรอบถนน ที่บางเขนนั้นแหละ ไม่ต้องมีการถอยหลัง เดินหน้าตลอด พอจะเปลี่ยนเกียร์ ตัวรถ ตัวคนสั่นไปหมดเหมือนเจ้าเข้าทรงเคลื่อนที่ เปลี่ยนไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าต้องเหยียบครัชก่อน รถเลยกระตุกทั้งคนทั้งรถ ความที่มันใจเด็ดมาแต่เด็กไม่ร้อง ไม่กลัว ไม่ตกใจ ไม่หยุด ไม่ดับเครื่อง และไม่ถอย ยอมรับว่าตนเองมีสติ พร้อมทั้งคุมสติได้ดีมาก ไม่รู้จักกับคำว่า แพ้กับถอยมาตั้งแต่แต่เกิด อยู่ตามลำพังคนเดียวด้วย รู้แต่จะสู้จะเอาชนะกับทุกอย่างที่ขวางหน้า จึงต่อสู้อยู่กับเกียร์รถเสีย หน้าแดงผมตั้งทั้งยังห่วงจับพวงมาลัยรถ กลัวรถลงคู จนแทบจะยืนขับ เพราะเป็นคนตัวเล็ก ตัวพันอยู่กับเกียร์รถไม่สนใจอะไรใครที่ไหน รถยังแล่นไปช้าๆ เรื่อยๆ เครื่องรถก็ดันไม่ดับซะอีก พอรถกระตุก กระดึบๆ ผ่านร้านกาแฟในซอย สภากาแฟคนแก่ๆ ทั้งกลุ่มที่กำลังนั่งโขกหมากรุกกันอยู่ในร้านอาหารตามสั่ง ที่มีอยู่เพียงร้านเดียวในซอยขณะนั้นต่างถูกสะกดหยุดกึกกับภาพที่เห็น … พากันตกตะลึงอ้าปากค้าง แล้วหัวเราะปล่อยก๊าก ตบเข่าตบโต๊ะกับภาพนั้น พอได้สติต่างพากันตะโกนบอกเราอย่างอดสมเพชในภาพนั้นไม่ได้ว่า “ อีหนูเอ็งจะเปลี่ยนเกียร์เอ็งเหยียบครัชก่อนสิวะ … เอ็งขโมยรถพ่อมาขับ ถ้าทางเอ็งจะโดนตืบแน่งานนี้ อย่าขับลงคูนะโว้ยนังหนู ” โชคดีที่เปิดบริสุทธิ์เองครั้งแรกไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นได้สอนให้พี่น้องทุกคนโดยขโมยรถจิ๊บพ่อนั่นแหละมาเป็นเหยื่อสังเวยความอยาก เฉียดตายครั้งแล้วครั้งเล่า จะเล่าให้ฟัง … เมื่อสอนให้พี่น้องอีก 3 คน ขับในค่ายทหาร ศูยน์ปืนใหญ่ที่ จ.ลพบุรี ในยามวิกาล จำได้ดีว่า เพื่อนๆ กับน้องนั่งกันเต็มรถ เราคนเดียวที่นั่งห้อยอยู่ข้างซ้ายของพี่สาวพี่แจ๊ด ( ตอนนั้นคิวเธอขับ ) รถทหารพวงมาลัยจะอยู่ข้างซ้าย เราจึงห้อยหมิ่นเหม่อยู่ข้างซ้ายคอยบอกบทเธอ เอารถออกกันตอนตีสาม พ่อแม่หลับกันแล้ว หมายตากุญแจรถไว้ พ่อมักวางไว้ที่เก่า พากันย่องลงบันไดหลัง ช่วยกันเข็นรถออกไปก่อนแล้วไปสตาร์ทกันข้างนอก หัวคิดเราทั้งนั้น สมุนเรามีมากมาแต่เด็ก ทั้งหญิงและชาย พ่อกับแม่ยังหลับอุตุอยู่ แล้วพี่สาวได้พุ่งรถเสยเข้ารั้วไม้รวกทางซ้ายมือ เพราะเธอจะเหยียบเบรคกลายเป็นเหยียบคันเร่งแทน เสียงหักกราววว … ของรั้วไม้ไผ่ดังก้องขึ้นในความมืดของค่ายหทาร

โปรดติดตามตอนต่อไป

อมิตาพุทธ

พลิกตำนาน …ของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ฉบับสมบูรณ์ และหนังสือจากศูนย์สู่ดับสูญ รวบรวมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หนังสือชุดนี้จัดพิมพ์เป็นที่เรียบร้อย  หากท่านใดสนใจติดต่อเราได้ที่

E-mail varunee5@yahoo.com หรือ
เบอร์โทร 085-660-2475 หรือ
Facebook -วารุณี พิทักษ์สินากร
 

ธรรมมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ทุกชาติทุกศาสนาที่นำมาศึกษาปฏิบัติ ต่างพบกับสัจธรรมของชีวิตอย่างชัดเจน เพราะพระองค์ไม่เคยเน้นว่า ธรรมะเป็นของพระองค์ หรือของพระพุทธศาสนา แต่เป็นของมวลมนุษย์ชาติที่มองหา ความสุข สงบ ทางใจ นำไปใช้ได้ทุกคน

หนังสือจากศูนย์สู่ดับสูญ รวบรวมคำสอนขององค์พระพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มรดกของชาว พุทธแท้ พุทธะ ของท่านพุทโธ