ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 210

ตอนนั้นเรายังไม่มีพระอะไรห้อยคอ นัยว่า นรกยังไม่ต้องการ ยมบาลยังไม่จัดคิว กับ Lady luck ดูจะอยู่กับเราเสมอมาแต่เด็ก … ที่รั้วบ้านนี้อยู่ห่างจากบ้านพักของพ่อคนละซอยกัน ไม่งั้น …ซวยแน่นอน ตอนใกล้รุ่งคงปลุกพ่อกับแม่ลุกขึ้นจับได้ไล่ทันแน่ๆ รั้วบ้านที่ถูกชนก็ทหารลูกน้องพ่อนั้นแหละ แกนรั้วไม้ลวกซีกหนึ่ง พุ่งสวนเข้ามาในรถทางเรา แม้จะมืด แต่ด้วยสัญชาติญาณบางอย่าง กับเมื่อถูกกำหนด ที่มา ที่เป็น ที่ไปไว้เรียบร้อยแล้วจะยังตายไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้เขาพระสุเมนกลิ้งมาทับก็จะตายไม่ได้ เมื่อภาระกิจยังไม่เสร็จ ทำให้เรารีบเบี่ยงกายเบียดเข้ากอดพี่สาวตรงที่คนขับทัน ก่อนที่ปลายอันแหลมคมของไม้ไผ่จะเสียบชายเสื้อขาดทะลุ ผ่านสีข้างเราไปชนิดเสื้อขาด เส้นยาแดงผ่าแปดแสบซ่าตรงสีข้าง ยังเสียวไปทุกรูขุมขน กับยังจำความรู้สึกเฉียดตายครั้งนั้นได้ แต่จะปริปากบอกใครไม่ได้ จะโดนซ้ำ ไม้รวกแหลมไม่ถูกใครเลย ผ่านทะลุไปหลังรถเหมือนเทพไท้เทวาปัดไว้ ไม้ยาว 4 เมตรกว่า ไม่ได้แขวนพระในคืนนั้น ( ยังไม่พบพระสมเด็จเขียว ตอนนั้นอายุแค่ 15 ปี ) สัตว์โลกทั้งหลายต่างรอดตายกันทุกตัวตน ด้วยสติปัญญาแห่งการเอาตัวรอด ข้อแก้ตัวมีมาเป็นแพคเกจเพื่อพูดให้ … อาสัญญา ทหารคนสนิดของพ่อ ( ปัจจุบัน ละขันธ์ไปแล้ว ) ถูกเจ้าของรั้วไปตามตัวมาใกล้สว่าง เขากับสมุน รีบซ่อมรั้ว แล้วเสร็จก่อนสว่าง โชคดีที่รถไม่บุบพังหรือมีตำหนิ ก่อนพ่อตื่นไปทำงาน รถเข้าจอดที่เดิมในสภาพเรียบร้อย กุญแจรถวางอยู่ที่เก่า ลูกทุกคนยังงัวเงียกันอยู่ในมุ้งเหมือนเพิ่งตื่นจากฝันร้ายกันมาหมาดๆ รั้วบ้านนายทหารตอนนั้นทำด้วยไม้ไฝ่ซี่ๆ สานๆ กันเป็นรั้ว ซึ่งบ้านนายทหารทำเหมือนๆ กันหมด กับบ้านนายทหารส่วนมากสร้างด้วยไม้ทรงสูงมีใต้ถุน ที่บางทีมีเสาไม้ตะเคียนตกน้ำมันอยู่กลางบ้าน มีผ้าสามสีคาดอยู่กลางบ้าน แล้วใครจะอยู่ได้เล่า? … มีแต่ถูกคำสั่งบังคับให้อยู่ทั้งน้านนน … โอ้ย … ไม่อยากเล่าหรอก เล่าที่น่ากลัวกว่าดีกว่า เพราะเรื่องผีสางนางไม้ได้ฟังกันบ่อยแล้วแต่เรื่องที่จะเล่านี้ … หาฟังกันที่ไหนไม่ได้เพราะไม่มีใครเขากล้าทำกัน รับรองได้ … คือตุ๊กแก … จัดเป็นชีวิตที่พิสดารจริงๆ จะเล่าให้ฟัง เพราะสมุนมาบ่นว่าที่บ้านมีตุ๊กแกมาก ลูกพี่ไปปราบให้หน่อย โดยเฉพาะมีตัวหนึ่งเป็นปู่โสม ร้องเสียงดังมาก ตัวใหญ่มากอยู่ในครัวบ้านนายทหารทุกหลัง พอตกดึกมา ตุ๊กแกมันหอนเห่า รับกันเป็นทอดๆ ไปทั้งหุบเขายิ่งบ้านไหนที่มีเสาไม้ตะเคียนตกน้ำมันด้วยแล้ว … คุณเอ้ย … ตกดึกมาบรรยากาศนี้เย็นยะเยือก จึงต้องสำแดงฤทธิ์เดชไปปราบตุ๊กแกให้บริวารชมเป็นขวัญตา เพื่อว่าจะอวดความกร่างให้เห็นเป็นบุญตา ค่ายทหารศูยน์ปืนใหญ่สมัยนั้นยังเป็นต้นไม้ ป่า ดกดื่นอยู่มาก โดยเฉพาะต้นมะขาม มีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่อยู่ใจกลาง รวมเป็นตลาดชาวบ้านจากครอบครัวนายทหารทั้งหมด ตรงไปบนเนินเขาเป็นสโมสรนายทหาร มีเสาธงเด่นเป็นประจักษ์ เรื่องต้นมะขามนี้ก็มีตำนาน จะตัดซี้ซัวไม่ได้ รุกขเทวดาแรงไม่ยอมกันง่ายๆ เมื่อนัดแนะกันแล้วในคืนหนึ่ง ซึ่ง ส.ว. ( ผู้สูงวัย )ที่อยู่ในบ้านหายหัวหนีกันหมด พอรู้ว่าเด็กๆ มันจะเล่นพิเรนทร์กัน ไม่มีใครยอมอยู่บ้าน กับรำคาญตุ๊กแกกันด้วย จึงเปิดทางให้เต็มที่ แต่จะพลาดไม่ได้ ต่างไปซุ่มดูกันอยู่ห่างๆ ทางบ้านฝั่งตรงข้าม เราบอกบรรดาสมุนให้เตรียมถุงพลาสติกดำใบใหญ่ใส่ซ้อนกันไว้หลายๆ ใบ เดี๋ยวพี่ … จะจับเอง “ พี่จะใช้รัยจับ ” เด็กแป้วถามด้วยกังขาเต็มแก่ “ เออน่า … เอ็งเตรียมถุงไว้ก็แล้วกัน เปิดปากถุงไว้กว้างๆ อย่าให้พ่อมันกระโดดขึ้นงาบหัวเอ็งได้ ” เด็กที่เดินตามลุ้นมี เจี๊ยบ กับจั่น เป็นเด็กผู้ชายทั้งคู่ ลูกชายของอาเสริม ร้านตัดเครื่องแบบทหารกลางศูนย์ ปืนใหญ่ ซึ่งมีเพียงร้านเดียว เจี๊ยบเป็นลูกชายคนเล็กอายุประมาณ 10 ขวบ จั่นพี่ชายอายุประมาณ 12 ขวบ เด็กทั้งคู่พร้อมใจกันลงทะเบียนเป็นขาประจำกับแกงค์นรกของเรา โดยมีเราเป็นหัวโจกอยู่หลายปี จนลูกพี่มันย้ายเข้ากรุงเทพฯ ตอนอายุ 15 ปีกว่าๆ เพราะคุณพ่อได้ย้ายเข้ากรุงเทพฯประจำการที่องค์การเชื้อเพลิง สนามหลวง ทัพจึงแตกกันไป ส่วนกลุ่มเด็กหญิงมี เจ้าดาว เจ้าวาสนา ซึ่งเราเรียกว่า หนา เจ้าแป้ว และน้องเล็ก 4 คนนี้พี่น้องกัน มาลงทะเบียนเป็นบริวารขาประจำ พร้อมๆ กับจั่นและเจี๊ยบ จะมีเด็กข้างบ้านที่ตามมาแจมดูหัตกรรมจับตุ๊กแกกันอีก 3 – 4 คน ตอบเด็กไปแล้ว … ให้สงสัยเหมือนกันจะใช้อะไรจับมันดี ตีนมันหรือก็เหนียว ตัวก็น่ากลัว ตะปุ่มตะป่ำ บ้านหลังแรกที่จะจัดการคือบ้านเจ้าดาว หนา แป้ว และน้องเล็ก
ด้วยนิสัยที่เป็นผู้นำมาแต่เด็ก เด่นมากเรื่องไหวพริบกับการเอาตัวรอดของเรา เสียงหนาพูด “ พี่ๆๆ เอาตัวในครัวตัวใหญ่ก่อนหลังตู้กับข้าวน่ะ พวกหนูเกลียดมันมากเลย มันร้องเสียงดังกว่าใครเพื่อน หนูว่ามันใหญ่กว่าทุกตัวในค่ายนี้เลย เสียงมันชอบปลุกพวกเราตอนดึกๆ ” “ เฮ้ยย!!! … มันจะใหญ่สักแค่ไหน เดี๋ยวตรูรรจัดการเอง ป๊ะ … พาพี่ไป ” พอสมุนสองคน คือจั่นกะหนาช่วยกันคนละด้านเพื่อขยับตู้กับข้าวออกมาจากฝาเท่านั้น เรา …โดน … ณ.จังงังเข้าจู่โจมจับขั้วหัวใจ อ้าปากค้าง … แล้วรีบหุบ … กลืนน้ำลายเอื๊อก แต่ด้วยไหวพริบแห่งความกะล่อนที่เฉียบแหลมมาแต่เด็กไม่เคยจนตรอกไหนง่ายๆ “ หยุด!!! ตะเข้หรือตะแกวะ … มันมาทำอะไรที่นี่ผิดที่ผิดทางหรือเปล่า ปู่โสมเลยนะเนี้ยะ คิดออกละ … เราไปจับตัวเล็กๆ ให้ไอ้ตัวนี้มันใจฝ่อก่อน แล้วเดี๋ยวย้อนกลับมาจับน้องตอนทีเผลอ ” ( แต่จริงๆ แล้วเราฝ่อซะก่อน พาลฉี่จะแตกเอา ) ตุ๊กแก บ้าอะไรตัวเท่าลูกตะเข้ ใหญ่กว่าท่อนแขนเราซะอีก ตอนมองเข้าไป มันอ้าปากแยกเขี้ยวรออย่างท้าทาย มองสบตาเรา ตาแดงแป๊ด หัวนี้เท่าลูกมะพร้าวย่อมๆ งาบหัวเราได้สบายๆ … สงสัยอยู่ถ้าจับตัวนี้ จะดึงหลุดจากฝาบ้านหรือเปล่า? … 30 นาทีให้หลังตุ๊กแกทั้งบ้านวิ่งหนีกันชุลมุน เด็กจากบ้านอื่นๆ พากันมาไล่ล่อรวมกัน 10 กว่าคน เป็นที่สนุกสนาน ทั้งคนทั้งตุ๊กแกวิ่งกันอลเวงไปหมดเพราะคนวิ่งไล่หาตุ๊กแก ตุ๊กแกต่างพากันแตกตื่นวิ่งหนีออกจากตัวบ้าน กะเอาชีวิตรอด หนีไปอยู่ที่รั้วบ้าง ต้นไม้ใหญ่บ้าง ใต้ถุนบ้านบ้าง ห้องน้ำที่อยู่ห่างจากตัวบ้าน มันเยอะจริงๆ แต่ไอ้ตัวใหญ่ไม่ขยับไปไหนจากตู้กับข้าวมันรู้ว่าเราไม่กล้า ทั้งๆ ที่อ้าปากรออยู่ สมัครพรรคพวกต่างช่วยกันไล่ต้อนตุ๊กแกออกมา กับเตรียมขอคิวจองตัวเราไปบ้านของตนเองเป็นนัดถัดไป ภาพเด็กๆ ทั้งหญิง – ชาย กรี๊ด วิ่งไปมาลอดใต้ถุนบ้าน ลงบันใดหน้าบ้าน บันใดหลังบ้าน รอบบริเวณบ้าน มันเป็นภาพที่ไม่มีให้เห็นทุกวัน ผู้ใหญ่หัวหงอก แอบดูกันบ้านฝั่งตรงข้ามถนน หุบปากเงียบ ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ผู้ถือถุงคือแป้ว วิ่งตามเราดังเงา เธอจัดเป็นผู้ที่ถือว่ากล้าที่สุด ตอนนี้ถุงนั้นทั้งตุง ทั้งหนักไปด้วยตุ๊กแกประมาณ 15 – 16 ตัวที่อัดยัดเยียดกันอยู่ทั้งเป็นๆ ดิ้นกันอยู่ขลุกขลักก้นถุง กับชะตากรรมที่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ไม่เคยเจอ … ที่น่าประหลาดเสียงร้องของตุ๊กแกทั้งหุบเขา … คืนนั้นไม่มีถุง ได้ซ้อนกันหลายชั้น ไพล่พลตุ๊กแกพอเห็นเราเอาจริง จับมันด้วยมือเปล่าๆ ทั้งคนที่เห็น กับตุ๊กแกต่างเผ่นกันคนละทิศ ด้วยคาดคิดไม่ถึงว่าจะมีวันอย่างวันนี้เกิดขึ้นได้ บางทีเราแกล้งจับตุ๊กแกที่ดิ้น ขากางอยู่ในมือทำท่าจะโยนไปทางกลุ่มเด็กที่วิ่งตาม เท่านั้นแหละ เสียงกรี๊ดกลุ่มแตกหายกันไปพลิบตา เหลือแต่เจ้าแป้วยืนหัวเราะขำ มือจับถุงอยู่หลังเราคนเดียว ตุ๊กแกแต่ละตัวต่างกลัวลนลานพยายามวิ่งหนี บ้างกระโดดข้ามรั้วไม้ ไปบ้านข้างๆ บ้างลงจากบ้านวิ่งไปซ่อนในห้องส้วม ที่อยู่แยกกับตัวบ้าน บ้างวิ่งหนีไปบ้านอื่น บ้างปีนขึ้นหลังคา หาที่อยู่ปลอดภัย … ขนาดของแต่ละตัวยาว 10 นิ้วขึ้นไป ตุ๊กแกมีอุ้งเท้าที่เหนียวยึดฝาไม่ยอมปล่อย แต่เราเลือดเข้าตากระชากหลุดหมด “ พี่มีตัวนึงที่ราวบันได มันชูคอรอพี่อยู่อะ ” เสียงเจ้าหนา เรียก เมื่อเราไปถึง ตัวนี้ขนาดฟุตกว่าๆ มือขวาเราตะปบเข้าที่คอตุ๊กแกทันที แต่เขาเร็วกว่า ตวัดคอกลับงับนิ้วโป้งของเราเอาเต็มปาก ไม่ยอมปล่อยเสียอีก หัวแม่มือขวาเราหายเข้าปากมันไปมิด ภาพนี้เป็นเรต x เด็กอย่างน้องเล็ก น้องสาวคนเล็กของเจ้าแป้วอายุเกือบ 10 ปี ที่วิ่งตามดูทั้งกลัวๆ เป็นลมหงายท้องล้มป้าบลงไปฟาดพื้น ทันทีเสียงกรี๊ดของผู้ที่เห็นภาพนี้ดัง กับหายตัววิบไปพริบตา เมื่อเห็นภาพนิ้วโป้งเราหายเข้าไปในปากตุ๊กแกตัวนั้นทั้งนิ้วแล้วคาอยู่ ดีที่ตุ๊กแกมันอมอยู่นิ่งๆ ไม่สะบัดหัว ส่วนเจ้าแป้วฉี่ราด ถุงตุ๊กแกหลุดมือ วิ่งไปตั้งหลักในห้องน้ำ ชนิดตัวใครตัวมันแต่ชีต้องกรี๊ดสุดเสียงผวากลับออกมาจากห้องน้ำแบบทำนบที่เหลือแตกรดกางเกงหมดจนหยดสุดท้าย เพราะตุ๊กแกที่หนีไปหลบจากตัวบ้าน ไปยึดพื้นที่เอาไว้ก่อนหลายตัว อีก 2 – 3 คนวิ่งชนกันเองล้มลุกคลุกคลาน พากันแหกปากร้องกรี๊ดๆๆๆๆ สุดเสียง … “ ว๊ายๆๆ … ลูกปี้ …โดนตุ๊กแกงาบ … เฮ้ย หนีตัวใครตัวมัน ” เจ้าเจี๊ยบวิ่งไปชนเสาบ้านล้มลุกขึ้นมาได้ รีบวิ่งออกไปตั้งหลักที่ถนน เจี๊ยบจะมีนิสัยประจำตัวแต่เด็กเขาจะติดผ้าห่มเก่าๆ ผืนเล็กๆ อยู่หนึ่งผืน ไปไหนมาไหนผ้าห่มผืนนี้ต้องไปกับเขา งานนี้เขาทำผ้าห่มตกไปทิศไหนไม่รู้แทนที่เราจะกลัวหรือตกใจ กลับมองดู สมุนแต่ละคนด้วยอารมณ์อันสุนทรี เจ้าจั่นวิ่งตามน้องชายออกไป ไอ้เราคนถูกเงิบแท้ๆ ยังไม่ร้องเลย ยืนค้างอยู่อย่างนั้น หันซ้ายหันขวาเห็นเพียงถุงตุ๊กแกกองร่วงอยู่ข้างๆ คนถือถุงไม่เห็นหัว … แล้วทุกอย่างก็เงียบกริบไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่ในบริเวณนั้น เห็นร่างน้องเล็กนอนหงายอยู่ตรงเสาบ้านข้างบันใด ใช้เวลาทั้งหมด ไม่ถึง 10 วินาที เราตัดสินใจกระชาก ดึงมือกลับเต็มแรง ยอมรับว่าอุ้งเท้าเขาเหนียวมากไม่ยอมปล่อยราวบันได ไม่ยอมปล่อยนิ้วเราแบบกัดกันสุดฤทธิ์ ของเขาที่มีได้เพียงหนึ่งช็อต เมื่อนิ้วหลุดมาจากปากตุ๊กแก …มองเห็นรอยฟันลากยาวเป็นทาง 4 – 5 รอย เลือดไหลออกมาทันตา เราหน้ามืดจะเป็นลม … เฮ้อ!!!! มีใครเคยถูกตุ๊แกงาบบ้าง “ ทุกขโต ทุกขถานัง ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตน ” จงดูกันไว้เป็นเยี่ยงแต่อย่าเอาอย่าง … เจ้าตัวแสบยังชูคอยิ้มอยู่ เราหน้ามืด ตบซ้าย ตบขวา ตบขวา ตบซ้าย ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ขวา ซ้าย ตบไม่เลี้ยง จนเจ้าตุ๊กแกคอสะบัดไปสะบัดมาตามแรงตบ ตุ๊กแกไม่เจ็บ เพราะไม่โดน เขาหดหัวหลบมือเราได้ทุกครั้ง … เจ้าหนาวิ่งเข้าคว้าถุงแทนเจ้าแป้ว จังหวะเดียวกับที่เรากระชากตัวเขา ทั้งๆ ที่เลือดอาบนิ้ว โยนลงถุงไป แล้วได้ถือโอกาสประกาศ ถอนทัพทันที จะได้ไม่ต้องไปยุ่งกะอีตัวปู่ที่รออยู่ในครัว ถ้าเป็นอีตัวปู่งาบ ตอนนี้คงเหลือ แค่ 19 นิ้วแน่ๆ “ พอๆ คืนนี้พอแค่นี้ พวกเอ็งเอาตุ๊กแกไปทิ้งไกลๆ ในป่านะ ข้างเชิงเขาโน่น ห้ามฆ่าเขาเด็ดขาด ” มันเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ลืมไม่ได้ … เป็นประสบการณ์ที่มีได้เพียงหนึ่งเดียว
กลับมาเรื่องขับรถต่อ งานที่สองนี้เราโดนจังๆ รวบยอดนัยว่าเวรกรรมตามมาเฉ่งทัน … เมื่อพ่อย้ายจากลพบุรีมารับราชการที่กรุงเทพฯ พ่อกับแม่ปลูกบ้านอยู่ที่ ซอย น้ำใส ถ.พหลโยธิน คือปัจจุบันในตอนนั้น น้าชายเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมาจาก จ.อุดรฯ เพื่อมาเยี่ยมแม่เยี่ยมหลานๆ น้าชาย ( น้องชายแม่ ) เป็นอะไรอย่างที่ซ่า กับเริดมาก จนอธิบายไม่ถูก ที่แน่ๆ เป็นน้าชายคนเดียวที่หล่อมาก เล่นกล้าม เป็นนักยกน้ำหนัก รูปร่างสูงจมูกโด่ง ผิวขาวเหมือนฝรั่ง เคยให้หลานทั้ง 4 คน โหนแขนน้าข้างละ 2 คน เคยเอาหลานทั้ง 4 คน ขึ้นจักรยานพร้อมๆ กัน เราเป็นหลานคนโปรดที่สุดของน้า กับพวกเราทุกคนรักน้าคนนี้มากกว่าน้าทุกคน น้าชายขับรถ เอ็ม.จี สปอร์ตสองประตูสีแดง เปิดประทุน เป็นรถในความฝันของทุกหนุ่มสาวในยุคนั้น ก็ว่าได้ … Gee!!! ขับมาจากจ.อุดรฯแน่ะ เปิดประทุนใส่แว่นดำ สุขุมมาดเข้มเต็มบาท มาดเฟี้ยวมาอย่าบอกใคร พวกเราดีใจกรี๊ดกันสุดขีด ( ที่เห็นรถไม่ได้เห็นน้า ) วันนั้นเป็นวันชะตาขาดของเรา เพราะน้าจอดรถทิ้งไว้ เอารถพ่อไป ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า ทะโมนทั้ง 4 ที่เพิ่งขับรถเป็นใหม่ๆ ตกมันค้างอยู่ทุกตัว มองรถน้าตาเป็นมันด้วยความหมาย ที่จะลองรถสปอร์ตยอดนิยมให้ได้ พอพ่อแม่กับน้าลับตาจากบ้านไป ทุกคนกระโดดขึ้นประจำที่ เราเป็นคนถอยรถออกจากบ้าน ในซอย ยังเป็นคูคลองคันนา วกไปวนมา มีบ้านคนนับหลังได้ จึงไม่มีการถอยหลังรถหน้าเดินตลอด เปลี่ยนกันขับจนสะใจ กรี๊ดวี๊ดว๊ายกระตู้วู้ยังกะนรกหลุดโดยไม่ต้องเกรงใจใคร หรือน้ำมันในถังที่ว่าจะหมด ชาวบ้านแถวนั้นคงพอจะเดากันออกว่า พวกเราทำอะไรกันอยู่ กับคงนั่งลุ้นกัน ให้มันเกิดขึ้นเร็วๆ โปรดรอคอยตอนหน้า
ประกาศ เราจะรับคิวสุดท้าย วันที่ 9 มิถุนายน 2010 เพราะ12 มิถุนายน เราจะออกเดินทางโดยสายการบิน มาเลย์แอร์ลาย ไปลงกัวลาลัมเปอร์ พักอยู่ 3-4 วัน เนื่องจากมี unfinish Bussiness อยู่ที่นั่นที่ทำไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว คือปี 2000 ที่โรงแรม Equatorial ห้อง 914 ที่ลงในบทแรงอธิษฐาน 1 จากนั้นจึงจะเดินทางเข้ากรุงเทพ กดเข้าเวปเราหาอ่านแรงอธิษฐานตอนแรกแล้วจะรู้สาเหตุว่าอะไรทำเรากลับไปที่นั่น อ่านได้จากพลิกตำนานหลวงปู่ทวด

อมิตาพุทธ

พลิกตำนาน …ของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ฉบับสมบูรณ์ และหนังสือจากศูนย์สู่ดับสูญ รวบรวมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หนังสือชุดนี้จัดพิมพ์เป็นที่เรียบร้อย  หากท่านใดสนใจติดต่อเราได้ที่

E-mail varunee5@yahoo.com หรือ
เบอร์โทร 085-660-2475 หรือ
Facebook -วารุณี พิทักษ์สินากร
 

ธรรมมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ทุกชาติทุกศาสนาที่นำมาศึกษาปฏิบัติ ต่างพบกับสัจธรรมของชีวิตอย่างชัดเจน เพราะพระองค์ไม่เคยเน้นว่า ธรรมะเป็นของพระองค์ หรือของพระพุทธศาสนา แต่เป็นของมวลมนุษย์ชาติที่มองหา ความสุข สงบ ทางใจ นำไปใช้ได้ทุกคน

หนังสือจากศูนย์สู่ดับสูญ รวบรวมคำสอนขององค์พระพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มรดกของชาว พุทธแท้ พุทธะ ของท่านพุทโธ