ต่างภพต่างภูมิกับดวงดาว 7
- พฤศจิกายน 7, 2016
- ตอน เกือบจะสิ้น...แสงตะวัน 2

ศิษย์คนในภาพนี้ รีบหูตาแหกบินตรงกลับมาจากสวิทเซอร์แลนเพื่อมาจอยงานบั้งไฟ มุดถ้ำกับคณะจานวาเธอมีเพื่อนอยู่ในกลุ่มด้วย โดยเธอจะต้องจัดตารางทุกอย่างให้ไปชนกับเรา ทันงานมุดถ้ำกับ ชมบั้งไฟริมฝั่งโขง ด้วยความร่วมมือของหลายๆ ฝ่ายกับการออแกนไนต์ที่เด็ดขาดของเรา ฝันของเธอเป็นจริง พอมาถึงโรงแรม เย็นวันที่ 16 ที่หนองคาย โดยเราติดต่อให้ไกต์จัดการไปรับตัวเธอที่แอรพ๊อตอุดร แล้วจัดส่งมาที่โรงแรม หนองคายคืน นี้ไปชมบั้งไฟ พรุ่งนี้เช้ามุดถ้ำ เธอดีใจจนน้ำตาซึมที่ฝันเป็นจริง แอบมากอดแถมจูบเราด้วยซ้ำ เอาพวงมาลัยมาให้เรากับของขวัญวันเกิดจากวิทเซอร์แลนด์ ชื่อเล่นเจ้าตูน
ต่อจากบทความตอนที่ 6 เกือบจะสิ้นแสงตะวัน
เธอผู้นี้ชื่อแลม เมื่อออกจากที่พักเรา เธอตรงไปทำงานที่รับไว้ต่อเพื่อหารายได้เสริม ทุกคำพูดที่เราสั่งสอนเธอมันดังก้องอยู่ในใจ เมื่อเธอกลับไปเล่าให้สามีเธอฟัง ถึงสิ่งที่เราพูด เกี่ยวกับสามีเธอ พวกเขาตกใจกันมาก ว่าเราได้ล่วงรู้สิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร ทั้งๆ ที่มันเป็นความลับระหว่าง เขาสองคน แล้วอาจานวาเป็นใครพวกเขาไม่เคยรู้จักเรามาก่อน แต่เราสามารถมารู้ความลับทุกอย่างที่แลม กับสามีปกปิดชาวโลกกันไว้เป็นเวลานาน เรื่องนี้มันคาใจสามีเธออย่างมาก คือเรื่องบุตรชายคนโต ที่เขาทิ้งไว้ที่เมืองไทย กับพ่อแม่ของแลม
มันทำให้เจ้าอารค์ สามีของเจ้าแลม อยู่ไม่ติด จวบจนเวลาผ่านไป เกือบ 7 วัน อารค์เขาทนไม่ไหว โทรหาเราเองเลย แล้วขอนัดให้เราออกมาดูฮวงจุ้ยให้ฟรีตามที่เรารับปากไว้
แลมยังคาใจเรื่องทำสมาธิอยู่ วันถัดมาจากการเข้าพบเราครั้งแรก เธอย้อนกลับมาที่พัก เจ้าชัช อีกเพื่อพบเราแล้วให้เราสอนสมาธิให้ เมื่อแลมมาถึง จวนสี่โมงเย็นแล้ว ชัชยังไม่กลับจากทำงาน แม้เราจะรู้สึกเหนื่อยมากแค่ไหน ก็ไม่รอช้าที่จะสับสวิท ให้ฐานเก่าเธอกลับมา บุญเก่าเธอเยอะมาก เพียงแต่เธอหาทิศทางไม่เจอ เราอธิบายให้แลมเข้าใจเกี่ยวกับการนั่ง พอสังเขป ซึ่งเธอเข้าใจดีหมด ที่เหลือเธอจะตามดูวิดิโอ ที่เราไลต์ ตอนสอนในเฟตบุคเอง แค่นั่งชาตร์ให้เธอเพียง 25 นาที ได้เรื่องเลย เธอมาเล่าภายหลังว่า เหมือนคลื่นสมองเธอปั่นป่วนไปหมด ตรงหน้าผากตาที่สามเหมือน มีอะไร มากระตุ้น อยู่พักใหญ่ จากนั้นจิตเธอก็ว่าง สงบมาก พอดี ชัชกลับมาจากทำงาน เราจึงออกจากสมาธิกัน เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจมากนั่งครั้งแรก ในชีวิต เราสามารถเปิดจักกระทั้งหมดของแลมได้ เราพูดกับเธออย่างซีเรียดว่า เราเห็นเธออยู่ในชุดพยาบาลเรียบร้อยแล้วนะ เพราะเธอฝันที่จะเป็นหมอหรือพยาบาล แต่เงินก้อนสุดท้ายที่เธอมีแล้วตั้งใจจะเอาไปเรียนหมอที่ซิดนีย์ ถูกคนโกงไป เราเห็นเธอรักษาคนในอนาคต เธอจะยังตายไม่ได้ พระนางเมี่ยวซันรับสั่งมาว่าให้ช่วยเธอ เพราะต่อไปเธอจะได้โปรดเวไนยสัตว์ อีกจำนวนนับไม่ได้ ด้วยการรักษา จากการได้เป็นหมอหรือพยาบาล ด้วยเหตุนี้ พระนางเมี่ยวซันจึง ส่งเธอเข้ามาพบเรา เข้าใจแล้วนะ แลมได้ฟังดังนั้น กำลังใจของแลม กลับมาแทบทั้งหมด
จากวันนั้นวันเดียวที่สอนให้แลมนั่งสมาธิ เธอกลับไปนั่งเอง ต่อได้เลย ฐานเก่าเธอกลับมาทั้งหมดจากการนั่งกับเราเพียงหนเดียว ไม่แปลกใจเลยเนอะ เพราะเป็นพระประสงค์ของพระโพธิสัตว์กวนอิมที่ต้องการ
ให้แลมรอด ชัชกลับมาพบภาพที่เรากับแลมกำลังนั่งสมาธิกันอยู่ที่พื้นห้อง เราจึงพากันออกจากสมาธิ ชัชทำอาหารมีแกงส้มสับปะรด แล้วเรียกแลมทานข้าวเย็นด้วย ความรู้สึกของเด็กแลม ทานข้าวไปด้วยน้ำตาซึมไปด้วย นึกไม่ถึงว่าจะพบใครที่มีน้ำใจ เช่นเรากับเจ้าชัช สำหรับคนไทยในต่างแดนแล้ว ที่เราพบมาแทบทุกประเทศ มันปัดแข้งปัดขาชิงดีชิงเด่น ใส่หน้ากาก หรอกกันไปหรอกกันมา จะหาความจริงใจ กับจริงจังต่อกันนั้นได้ยาก ส่วนมากจะเป็นจิงโจ้กันทั้งนั้น แลมบอกกับเราว่า วันที่จะมารับเรา พาเราไปดูฮวงจุ้ยที่ร้าน ขอมานอนค้างที่พักของชัช กับเราได้ไหม พอเช้ามาเธอก็จะพาไปร้าน แต่เราปฏิเสธ จับได้ว่า แลม มีความเย็น สบาย กับการที่ได้อยู่กับเรา กับเจ้าชัช ที่ไหนเย็น ที่ไหนสบาย ใครก็อยากอยู่ที่นั่น
เมื่อถึงวันนัด แลมมารับเราแต่เช้า ซื้อขนมเค๊กติดมือมาฝากเรากับชัช ทั้งๆ ที่เงินทองก็ไม่มี

คุณ สุมาลีสุมิตรา หรือจุกกะเจี๊ยบลูกศิษย์จานวานานกว่า 15 ปี ที่อเมริกา ความศรัทธา แค่บริจาคเงินเรา หนึ่งแสนบาทไปสร้างที่ปฏิบัติธรรม ทำงานที่ รพ.ไกเซอร์ แอลเอทั้งคู่ พอรู้ว่าจานวาจะไป มุดถ้ำกะชมบั้งไฟ ตูไม่สนทั้งแม่ทั้งผัว ตัวใครตัวมันพี่น้องสองคนนี้ จับมือกันจองตั๋วหาโรงแรม จัดทุกอย่าง ให้ฝันเป็นจริง แถมอีก 7 วันมาเข้าคลาสนังสมาธิกะจานวาที่เชียงใหม่ ตัวศรัทธานี้ ซื้อหากันไม่ได้ที่ไหน เมื่อมันเกิดกับใคร ต่อใครแล้ว แก่ใครแล้ว ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น
เมื่อมาถึงร้าน อาหารของแลม กับอารค์ผู้สามี อารค์ เขาถามเราคำถามแรกเลยว่า “อาจารย์ครับ ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมแลมเขาถึงเชื่ออาจารย์ อาจารย์บอกให้ออกไปหา เขาพรวดพราดออกไปทั้งๆ ที่จารย์เป็นคนแปลกหน้า แต่ผมซึ่งเป็นสามีเขา ห้ามเขาบอกเขาอย่างไร เขาไม่เชื่อ”
ไม่ยากนะคำตอบนี้ “ด้วยเดชะบารมีของอำนาจแห่ง ศีล สมาธิ ปัญญาที่เราสั่งสมมานาน จากอำนาจของน้ำเสียงที่เราพูด มันสะกดแลมได้ อย่าต่อให้สามีมาฉุดเลย ต่อให้เป็นพ่อแลม มาห้ามแลมก็ไม่ฟัง ห้ามแลมไม่อยู่”
“งั้นผมขอถามอีกข้อหนึ่งนะครับ ผมมีพระอยู่ที่คอ แขวนคอผมอยู่ พูดพร้อมดึงพระขึ้นมา ถ้าผมถึงวิกฤตที่จะตาย พระที่คอจะเอาผมรอดไหมครับ” เราพูดว่า “ถ้าเรามีปืนตรงนี้นะ เอาปืนมาจ่อหัวเอ็ง ยิงเอ็งตรงนี้นะพระที่คอก็เอาเอ็งรอดไม่ได้ แต่พระที่ใจสิ เอาเอ็งรอดได้” เท่านั้น อารค์ มือไม้อ่อน รับสารภาพกับเราว่า “ผมอยากเรียนสมาธิกับจานครับ” “เราไม่ว่างเอ็งไปหาเรียนที่ไหน หรือทำเองที่บ้านก็ได้นะ อีกอย่างเราไม่ชอบหน้าเอ็งเท่าไหร่เลย พบกันครั้งนี้ครั้งเดียวแล้วไม่ต้องพบกันอีกนะ” เราพูดตามประสาที่เป็นคนตรง แทนที่เขาจะโกรธ เขากลับพูดว่า “ไม่ว่าอาจารย์อยู่มุมไหนของโลก ผมจะตามหาจารย์จนเจอ”
เราจัดฮวงจุ้ยให้ร้านอาหารเขา ที่จริงแล้วคนทั้งคู่ไม่ต้องการทำร้านอาหาร อารค์เป็นวิศวะ เขามีงานของเขาอยู่แล้ว แลมอยากเรียนหมอ แต่ถูกญาติหรอกให้ช่วยเปิดร้านอาหารให้ พอเปิดให้แล้วญาติเปลี่ยนใจไม่ไปทำ คนทั้งคู่จึงติดกับอยู่ ตรงร้านอาหารจนเป็นต้นเหตุให้แลมจะหาทางออกของชีวิตผิดๆ
ละครจากชีวิตจริงเรื่องนี้ ให้ข้อคิดหลายๆ อย่าง แสงตะวัน ที่กำลังจะลับขอบฟ้า ในวัดถัดมา เขาก็กลับมาเยือนอีก เขาไปแล้วไม่ไปลับ อะไรที่ดูเหมือนจะเป็นจุดจบ อาจเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของชีวิต ที่ดีกว่าเก่า ด้วยซ้ำ เป็นได้หมด ให้เวลา ให้โอกาสกับชีวิตตนเองอีกสักนิดอย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไรง่ายๆ การที่เราช่วยสามีภรรยาคู่นี้ เราไม่ได้เรียกเงินค่าอะไรสักบาทเดียว ฟรีทุกอย่าง เพราะเป็นความประสงส์ของพระโพธิสัตว์กวนอิมพระนางฝากมา
เราเดินทางกลับเมืองไทยวันที่ 5 ตุลาคม แลมแจ้งมาว่า จากการไปจัดฮวงจุ้ยให้ ยอดขายดีขึ้นทันตา แล้วมีคนมาซื้อร้านแล้ว นัดทำสัญญาวันที่ 26 ตุลาคม เคสของแลมจึงจบลงอย่างสมบูรณ์ มันเป็นการสั่งสมบารมีของเราอย่างไร้ขอบเขต กับมันเป็นหน้าที่ของเราด้วยเช่นกัน
เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้วคลี่คลาย คุณแลม ได้เขียนประสบการณ์ ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ประทับใจเธอมากลงตีแผ่ในเฟตบุ๊คเพื่อให้เพื่อนร่วมโลกผู้ จมอยู่ในความทุกข์ มืดมิดไปทุกทิศ หลงสะเปะสะปะหาทางออกไม่เจอ ให้รู้ว่าในความมืดนั้นยังมีแสงสว่างทางออก ที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทางที่ปลอดภัยที่สุด ทางที่ตรงกับอาการของความทุกข์ ที่สุด ทางนั้น ชื่อว่า วารุณี พิทักษ์สินากร อ่านจดหมายที่เธอลงด้วยความรู้สึกทั้งมวลกันเอาเอง
To
อ.วารุณี พิทักษ์สินากร
Nov 7 at 8:03 PM
จดหมายเปิดผนึก จากหนูแลม
ถึงอาจารย์วารุณี
ในวันที่ชีวิตหนูมืดที่สุด วินาทีที่หนูคิดว่า หนูพอแล้ว กับทุกอย่าง ทุกเรื่อง ทุกคน ไม่อยากรู้ ไม่อยากคิด เหนื่อย อยากพักผ่อน คนสุดท้ายที่คุยด้วยไม่ใช่คนในครอบครัว ไม่ใช่คนรัก แต่เป็นคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ,เบอร์โทรก็ไม่มี ,ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพูดอะไรไป แล้วไปเจอได้ยังไง มารู้ตัวอีกที หนูมานั่งข้างๆ แล้วอาจารย์ก็ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ทุกข์มากใช่มั้ย มาอยู่ตรงนี้ เธอรอดเเล้วนะ เธอไม่เป็นอะไรเเล้ว เธอปลอดภัยแล้ว
สิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ที่พาหนูมาพบอาจารย์ได้ อาจารย์บอกว่า บุญยังมีที่ได้มา และนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
อาจารย์ทำให้คนที่ไม่มีเเรงเเม้แต่จะลุกจากที่นอนไปกินข้าว วิ่งมาหาอาจารย์ ได้ ขอใช้คำว่าวิ่งค่ะ ซึ่งสติตอนนั้นบอกตัวเองว่า เหนื่อยไม่ไหวเเล้วจะวิ่งทำไม ? จะรีบไปทำไม แรงไม่มีเเล้ว แต่ขามันก้อวิ่งไปเอง เพราะอาจารย์บอก ให้มาหาฉัน รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีมาให้ถึง หนูก็มาถึง ซึ่งปกติเเล้วคนที่มาอยู่ต่างประเทศไม่มีใครเค้าจะไปหาคนที่ไม่รู้จักกัน และให้ไปในที่ๆ เราไม่รู้จัก คนเดียว ไม่มีใครรู้สักคนว่าเราจะไปที่ไหน คนปกติเค้าไม่ทำกันค่ะ คือพอมานั่งคิดย้อนหลังคือ มันไม่ใช่ตัวหนูเลยด้วยซ้ำ หนูตอนสติๆ ดีไม่มีทางที่จะไปหาคนที่ไม่รู้จัก ในที่ๆ ไม่เคยไป คนเดียว ตอนมืด เเน่นอน… เเล้วยังหยิบกระเป๋าสะพายไปเเต่ในกระเป๋าเงินไม่มีเงิน มีเเต่บัตรรถ และเเถมอาจารย์ก็ยังรู้ด้วยว่า หนูไม่มีเงินในกระเป๋า ทั้งๆที่หนูเองก็ไม่รู้ด้วยว่าหนูไม่มีเงินสดในกระเป๋าเลย อาจารย์ ไม่เอาเงินจากหนูสักบาท แถมยังจะให้เงินหนูค่ารถกลับบ้านอีก
สิ่งที่ทำไป วันนั้น มั่นใจว่า 100% ไม่ใช่ตัวหนูแน่นอน มันแปลกเกินไป ผิดวิสัยคนปกติเค้าทำกัน
หลังจากวางสายจากอาจารย์ หนูยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพูดกับใครไปว่าอะไร ในหัวตอนนั้น คิดแต่วิธีว่าจะทำยังไง ให้ยังสวยเหมือนเดิม ตอนพ่อกับเเม่มาเจอ พ่อกับเเม่ต้องกอดต้องหอมเรายังจะตัวหอมอยู่มั้ย ? ใส่ชุดนี้ดีมั้ย เอากระเป๋าสะพายใบไหนไปดี ที่เหลือให้ใครบ้าง คิดแต่เเบบนี้ จนหยิบโทรศัพท์มาดูเวลา เห็นเบอร์โทรออกล่าสุดที่ไม่ได้เมมชื่อคุยด้วยตั้ง หลายนาที ก็ยัง งงๆ เอ้ย !! คุยกับใครวะ ตั้งหลายนาที จำไม่ได้เลย เลยกดโทรไปใหม่ เท่านั้นเลยค่ะ อาจารย์สั่งให้ไปหา เดี๋ยวนั้นเลย เด้งออกจากที่นอนทันที เเล้ววิ่งตั้งเเต่ออกจากบ้านเลยค่ะ พอไปถึงอาจารย์ยังบอกว่า หนูไม่กินเนื้อมานานมากเเล้วนิ่ ตัวไม่มีกลิ่นเนื้อเลย ทั้งที่ทุกคนในครอบครัวหนูกินเนื้อกันทุกคน มีหนูคนเดียว กินไม่ได้ พระโพธิสัตว์กวนอิมท่านก็ไม่ได้ไปไหนนะ แม่อยู่กับหนูตลอดเวลา อาจารย์รู้ได้ยังไง ว่า หนูมีเจ้าเเม่กวนอิมอยู่ที่บ้าน แล้วในเรื่องที่อยู่ลึกสุดหัวใจของหนู อาจารย์ก็ยังรู้
อาจารย์ทำให้หนูรู้ว่าในวันที่มืดมิดที่สุดมันทำให้เห็นเเสงชัดที่สุด
หนูเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อเป็นการขอบคุณ อาจารย์ วารุณี พิทักษ์สินากร
ที่ได้เมตตา อบรม สั่งสอน ให้ชีวิตนี้ของหนูได้พบกับความสงบ สบายใจ และช่วยให้หนูผ่านวิกฤติชีวิตที่แสนสาหัสมาได้ ถึงเเม้หนูจะผ่านมาแบบกระท่อนกระเเท่น เลือดชิบๆ แต่หนูก็ยังเชื่อว่า สักวันมันก็จะผ่านไป ตามที่อาจารย์ได้บอกไว้ ทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้เเล้ว ไม่มีความบังเอิญ อาจารย์สอนให้หนูรู้จักคำ คำหนึ่ง คือ “กรรม” ผลของการกระทำ มันทำให้หนูทำใจ ยอมรับ และมีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป ในวันที่หนูยอมแพ้ไปแล้ว อาจารย์ก็เป็นคนพาหนูกลับมาสู้อีกครั้ง อย่างสง่างาม ด้วย ศีล ธรรม เเละสมาธิถึงเเม้หนูจะทำได้บ้างไม่ได้บ้าง หนูก้อจะพยายามค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ จากลูกศิษย์ตัวน้อยๆ ไม่เอาไหนของอาจารย์
ป.ล. หนูไม่เคยเขียนอะไรยาวขนาดนี้เลย ตั้งเเต่เรียนจบที่เมืองไทย ยินดีมากหากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตหนูจะช่วยใครได้บ้าง ก็จะถือว่าเป็นบุญกุศลค่ะ
จบบริบูรณ์